กมธ.พัฒนาศก. ถกความคุ้มค่า-ผลกระทบร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

ข่าวกฏหมายและประกาศ Thursday June 26, 2025 18:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร มีการประชุมเพื่อพิจารณาวาระประเมินผลกระทบ และความคุ้มค่าของนโยบายการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment complex) โดยการประชุมในวันนี้ มีตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เป็นผู้ร่วมชี้แจง และตอบข้อซักถามด้วย

นายจุลพันธ์ ระบุว่า ความคืบหน้าของร่างกฎหมายดังกล่าวนั้น วิปรัฐบาลมีมติให้เลื่อนแล้ว ส่วนจะเลื่อนได้หรือไม่ อยู่ที่การลงมติของสภาฯ ซึ่งตนไม่มีปัญหา เพียงแต่ต้องการให้กฎหมายเสร็จในสมัยประชุมนี้ มองว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ เป็นจุดหนึ่งในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ สร้างงานสร้างเงินให้พี่น้องประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้รัฐ

โดยระยะเวลาที่สภาฯ เหลืออยู่ 2 ปี เมื่อทำกฎหมายเสร็จแล้ว ถ้ามีพรรคการเมืองประกาศนโยบายไม่ทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งก็เป็นการหยั่งเสียงประชาชนในรูปแบบหนึ่ง หากประชาชนตัดสินใจเลือกพรรครัฐบาลเป็นพรรคที่ไม่ทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สุดท้ายกฎหมายฉบับนี้ ก็จะเป็นแค่กฎหมายฉบับหนึ่งที่คาอยู่ แต่ไม่มีผลบังคับใช้ในที่สุด


  • จี้รัฐบาลต้องชัดเรื่องจำนวนผู้เล่นคนไทยในกาสิโน-โมเดลรายได้

ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ได้ซักถามถึงรายละเอียดในโมเดลของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยระบุว่าการประเมินความคุ้มค่าของนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ควรเป็นการหาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และผลกระทบทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น และในเมื่อเป็นนโยบายที่มีความละเอียดอ่อน และมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย การได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญ และรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการ และสื่อสารถึงเจตนาของตนเองอย่างตรงไปตรงมา และคงเส้นคงวา

ทั้งนี้ นายพริษฐ์ ได้มีข้อสังเกตใน 5 ประเด็น ดังนี้

1. จำนวนผู้เล่นคนไทยในกาสิโน : รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความชัดเจน ว่ารัฐบาลมีเจตนาที่ต้องการจะให้มีคนไทยไปเล่นกาสิโนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อการคำนวณตัวเลขทางเศรษฐกิจ และการออกแบบมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคม ถ้ายึดตามร่างกฎหมายที่ ครม. อนุมัติมา ระบุไว้ชัดว่าคนไทยที่จะเข้าไปเล่นได้ต้องมีเงินอย่างน้อย 50 ล้านบาทในบัญชีต่อเนื่อง 6 เดือน ซึ่งทั้งประเทศมีอยู่แค่ราว 10,000 บัญชี ก็คือแทบจะไม่มีคนไทยเข้าไปเล่นในกาสิโนในเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้ แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลที่รัฐบาลชอบอ้างถึง มาจากการคำนวณตัวเลขบนสมมุติฐานว่าจะมีผู้เล่นคนไทยในกาสิโนเป็นจำนวนมาก

โดยภาคเอกชนได้เคยสะท้อนในวงเสวนาเช่นกัน ว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในขนาดและรูปแบบที่รัฐบาลนำเสนอ จะคุ้มทุนทางธุรกิจได้ต่อเมื่อมีฐานผู้เล่นที่เป็นประชากรในพื้นที่ในระดับที่สูงพอสมควร ขณะที่โมเดลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าจะมีคนไทยเข้าไปเล่น 50,000 ครั้งต่อปี เนื่องจากเงื่อนไข 50 ล้านบาท โมเดลที่รัฐบาลแถลงต่อประชาชนเมื่อ 4 มิถุนายน คาดการณ์ว่าจะมีคนไทยเข้าไปเล่น 740,000 ครั้งต่อปีส่วนรายงานของเอกชนที่รัฐบาลมักอ้างถึง ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าจะมีคนไทยเข้าไปเล่น 23 ล้านครั้งต่อปี

2. โมเดลรายได้เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ : รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความชัดเจน ว่ารัฐบาลคาดว่ารายได้ของผู้ประกอบการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ส่วนใหญ่ จะมาจากกาสิโน หรือกิจการที่ไม่ใช่กาสิโน ถ้ารัฐบาลบอกว่ารายได้ส่วนใหญ่จำเป็นต้องมาจากกาสิโน เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินไปลงทุน และอุดหนุนการสร้างสถานบริการอื่นๆ (เช่น สถานที่จัดคอนเสิร์ต สนามกีฬา) รัฐบาลก็จำเป็นต้องรับมือกับแรงกดดันในอนาคต จากผู้ประกอบการที่ให้ผ่อนปรนให้คนไทยเข้าไปเล่นในกาสิโนมากขึ้น หากจำนวนผู้เล่นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เป็นไปตามเป้า

แต่ถ้ารัฐบาลบอกว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่ได้มาจากกาสิโน ก็จะเกิดคำถามตามมาว่าแล้วทำไมจึงต้องล็อกว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะต้องมีกาสิโน

3. การรับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมาย : ตนเข้าใจว่าการทำประชาพิจารณ์ อาจไม่สามารถสะท้อนความเห็นของประชาชนได้ทั้งหมด แต่ขอให้รัฐบาลระมัดระวังในการอ้างตัวเลขจากระบบรับฟังความคิดเห็นของร่างกฎหมายออนไลน์ที่บอกว่า 80% ของผู้ตอบ เห็นชอบกับร่าง เนื่องจากระบบดังกล่าว เปิดให้คนหนึ่งคนสามารถเข้าไปแสดงความเห็นกี่ครั้งก็ได้ นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมการแสดงความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ที่น่าตั้งคำถามว่าเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่ จากการวิเคราะห์กรอบเวลา และความถี่ในการแสดงความเห็น

4. การทำประชามติ : ยืนยันว่าตนไม่ได้คิดว่าทุกนโยบายต้องทำประชามติ แต่สำหรับนโยบายที่ละเอียดอ่อน และรัฐบาลไม่ได้รณรงค์ไว้ก่อนการเลือกตั้ง การทำประชามติเป็นข้อเรียกร้องที่มีน้ำหนักมากขึ้น โดย พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับใหม่ที่คาดว่าจะมีการบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ จะเปิดให้เรามีหลายทางเลือกในการทำประชามติ โดยการทำประชามติไม่ได้หมายถึงต้องทำก่อนกฎหมายผ่านสภาฯ เท่านั้น แต่สามารถทำหลังกฎหมายผ่านสภาฯ ก่อนการบังคับใช้ได้ รวมถึงสามารถทำประชามติเป็นรายพื้นที่ในพื้นที่ที่จะมีการตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้เช่นกัน

5. การพิจารณาร่างกฎหมายในสภา : แม้ตัวแทนรัฐบาลบอกว่าจะเลื่อนวาระออกไป เพราะต้องการรับฟังเสียงประชาชนให้รอบด้านก่อน ตนคิดว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง แต่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปกปิดการที่รัฐบาลมีเสียงในสภาไม่พอ เพราะที่ผ่านมา ตอนที่ สส. รัฐบาลพยายามผลักดันกฎหมายนี้ให้ขึ้นมาพิจารณาเป็นลำดับแรก ๆ ก็มีการอ้างว่าได้ทำการประชาพิจารณ์มาหลายรอบแล้ว และอ้างว่าประชาชนในพื้นที่ให้การตอบรับดี แต่มาวันนี้กลับมาบอกว่าต้องการรับฟังความเห็นประชาชนเพิ่มเติม


  • แนะหากไม่พร้อม ควรถอนร่างกม.ไปก่อน

ดังนั้น ข้อเสนอของตนคือหากรัฐบาลรับฟัง และเข้าใจข้อทักท้วงจริงๆ ทางออกที่จริงใจกว่าคือการถอนร่างออกไปแล้วนำไปปรับปรุง และหากเสนอไม่ทันในสภาชุดนี้ ก็นำกฎหมายดังกล่าวไปรณรงค์หาเสียง ผลเลือกตั้งที่ตามมา ก็จะเป็นคำตอบในระดับหนึ่งว่าประชาชนตอบรับมากน้อยแค่ไหน

นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า คำถามเรื่องสัดส่วนคนไทยที่จะเข้าไปเล่นกาสิโน และโมเดลเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้น เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะถกในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งตนเห็นว่าหลักคิดของรัฐบาลต้องชัดเจน ตั้งแต่ก่อนจะมีการเสนอกฎหมายเข้ามาสู่สภาฯ ในวาระ 1 ดังนั้น ถ้าหลักคิดของรัฐบาลเองยังไม่ชัด ควรถอนร่างออกไปก่อน


  • "จุลพันธ์" แจงสัดส่วนผู้เล่น-ที่มาของรายได้จากกาสิโน

นายจุลพันธ์ ชี้แจงต่อถึงเรื่องรายได้ว่ามาจากสัดส่วนไหนมากกว่ากัน โดยเห็นว่าจะมาจากกิจการที่ไม่ใช่กาสิโนมากกว่า ถ้ามองเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นหน่วยหนึ่ง แน่นอนว่ารายได้ในส่วนที่เป็นกาสิโนอย่างไรก็มีนัย แต่หากคิดถึงรายได้ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน และเศรษฐกิจในภาคอื่น เช่น การท่องเที่ยว และกิจกรรมกินเที่ยว ยิ่งมีการท่องเที่ยวอื่นรองรับในบริเวณใกล้เคียง สุดท้ายผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในภาพรวม จะมีการใช้จ่ายต่อหัวที่เพิ่มขึ้นในส่วนอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะในการพนันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจะมีสัดส่วนของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากกิจกรรมที่ไม่ใช่กาสิโน

ส่วนเรื่องสัดส่วนคนไทย และคนต่างประเทศที่เข้าเล่นกาสิโนได้นั้น รมช.คลัง กล่าวว่า ได้พบผู้ประกอบการที่แสดงความสนใจ ทุกรายล้วนแต่ผ่านการลงทุนมาทั่วโลก เห็นการกำหนดสัดส่วนมาทุกรูปแบบ มีทั้งประเทศที่ห้ามคนท้องถิ่นเข้าเลย มีทั้งที่ไม่ห้ามแต่เก็บค่าเข้ากับคนท้องถิ่น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับประเทศไทยว่าจะกำหนดสัดส่วนเท่าไร นักลงทุนพร้อมปรับได้ตามความเหมาะสมอยู่แล้ว

ผู้ประกอบการยืนยันว่าไม่ว่าจะมีหรือไม่มีขั้นต่ำ 50 ล้านบาท นักลงทุนก็พร้อมเดินหน้าตาม แต่สุดท้ายกระบวนการที่จะกำหนด รัฐบาลจะกำหนดฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมีพื้นที่ให้ภาคธุรกิจเดินได้ด้วย ต้องฟังความเห็นให้รอบด้าน และปรับแก้ให้มีความเหมาะสมต่อไป

รมช.คลัง กล่าวในช่วงท้ายว่า พร้อมปรับปรุงในกรณีที่มีเหตุและผล ไม่ใช่ว่ามีธงมาจากรัฐบาลแล้วตนจะยืนยันหัวชนฝา จึงอยากให้มีเวทีแบบนี้มากๆ เพราะถือว่ามารับฟังแลกเปลี่ยน ดีกว่าไม่มีการพูดคุยกันเลย



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ