กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย แถลงท่าทีภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยเตรียมจัดเวทีใหญ่อีกรอบประมาณกลางเดือนส.ค. พร้อมย้ำจุดยืน 3 ข้อเรียกร้องเดิม คือ การขับไล่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล และยืนยันอีกครั้งว่าไม่เอารัฐประหาร
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน หนึ่งในแกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ขอประกาศจุดยืนชัดเจนว่า ไม่เอารัฐประหาร หลังจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีการกล่าวหามาโดยตลอดว่าเป็นการปูทางให้รัฐประหาร โดยย้ำว่ามีภารกิจเพียง 3 ข้อ คือ 1. นายกฯ ลาออก 2. พรรคร่วมถอนตัว และ 3. ปกป้องอธิปไตยของชาติ
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อศาลฯ ได้ทำหน้าที่แล้ว ยังเหลือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ไต่สวน
ส่วนหลังจากนี้อาจจะมีจัดเวทีในต่างจังหวัด อาจเลือกจังหวัดที่มีความพร้อม เช่น สามารถรวบรวมประชาชน 3,000 5,000 หรือ 10,000 คน ก็จัดทัพใหญ่ไป แต่ระหว่างนี้หากมีสถานการณ์ฉับพลัน ในกรุงเทพฯ จะมีการปรึกษาและแถลงข่าวเป็นระยะ ๆ โดยคาดหมายว่า จะมีเวทีใหญ่สุด ๆ อีกรอบประมาณกลางเดือนส.ค. ยกเว้นรัฐบาลหาเรื่องก่อน
"รักษาการนายกฯ ก็ยังมีอำนาจหน้าที่ ถ้าเขาไม่หาเรื่อง ก็เป็นไปตามสถานการณ์ ยกเว้นเขาจงใจหาเรื่องหรือมีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ รวมถึงเรื่องกาสิโนก็เช่นกัน ก็เตรียมเจอเวทีใหญ่ ส่วนจำนวนมวลชนครั้งหน้าก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์" นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน หนึ่งในแกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย กล่าว
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้มาตอกย้ำจุดยืนของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยว่า ไม่ได้เอาด้วยกับการรัฐประหาร และยืนยันใน 2 ข้อหลัก คือนายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก
ส่วนกรณีที่การด้อยค่าว่าการชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย มีนายทุนหนุนหลัง นายปานเทพ กล่าวว่า จากการเปิดรับบริจาคจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. ยอดรวมบริจาคกว่า 30.7 ล้านบาท โดยมีผู้บริจาครวม 5 หมื่นคน ทั้งนี้ ได้คำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่การแถลงข่าว การรณรงค์ จัดเวที การรักษาความปลอดภัย การซื้ออุปกรณ์ เป็นต้น ใช้เงินไปทั้งสิ้น 2 ล้านบาท ทำให้เหลือเงินสำหรับความมั่นคงของประเทศ 28.6 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ได้ถูกแจ้งจำนงในวัตถุประสงค์ของผู้โอนว่าจะมอบให้กองทัพภาคที่ 1 ทั้งสิ้น 1.1 ล้านบาท จึงเหลือให้กองทัพภาคที่ 2 ทั้งหมด 27.5 ล้านบาท