
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวยืนยันว่า การบริหารประเทศของรัฐบาลไม่มีสะดุดหรือติดขัดอย่างแน่นอน ไม่ว่าท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยกรณีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากปมเรื่องคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาในทางใด เพราะยังมีกลไกตามรัฐธรรมนูญแล้วรองรับแนวทางปฏิบัติในทางการเมืองอีกหลายรูปแบบ อีกทั้งขณะนี้มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนแล้ว ดังนั้นการขับเคลื่อนงานของแต่ละกระทรวง ยังเดินหน้าไปได้อย่างไม่มีปัญหา รัฐมนตรีทุกคนมีอำนาจในการบริหารงานตามรัฐธรรมนูญ
รมช.คลัง ย้ำว่า รัฐบาลยังไม่ได้มาถึงจุดเสี่ยง แม้ว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้า ไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นทางใดก็ตาม หากเป็นเชิงบวก นายกรัฐมนตรีก็จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีเวลาเหลืออีก 2 ปีในการทำงาน แต่หากคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ เช่น นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง กลไกก็จะย้อนกลับไปที่สภาฯ ในกรณีที่ต้องหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคนั้น ๆ จะต้องมี สส. เกิน 25 คน เพื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทย (พท.) มีนายชัยเกษม นิติศิริ ขณะที่พรรคอื่น ๆ ก็มีกลไกตรงนี้ ซึ่งจะเดินหน้าไปตามระบอบ จึงไม่อยากให้มีการตีความว่าจะมีเหตุอันใด ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้า หรือไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้ในขณะนี้
พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีข้อห่วงใยใด ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังเกิดขึ้น พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหนียวแน่น กลมเกลียว และสุดท้ายยังหวังลึก ๆ และเชื่อลึก ๆ ว่ากระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะออกมา "เป็นบวก" ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนรัฐนาวาที่เหลืออีก 2 ปีต่อไปได้
"ไม่มีทางตัน ไม่มีทางที่ไปไม่ได้ รัฐธรรมนูญกำหนดชัดเจนว่ามีกลไกเป็นทางออก ยืนยันว่าทุกอย่างไปได้ อย่างแรกเลย ขณะนี้เรามีนายกรัฐมนตรี ชื่อ แพทองธาร ชินวัตร มีรักษาการนายกรัฐมนตรี ชื่อภูมิธรรม มี ครม. ที่กำกับดูแลกระทรวงครบถ้วนทุกคน ดังนั้นการขับเคลื่อนไม่มีข้อสะดุดติดขัด ส่วนเรื่องศาล ก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน มาอย่างไรสุดท้ายก็ต้องยอมรับ และเดินไปกับมัน ชีวิตไม่ได้จบแค่นั้น
หากเป็นบวก นายกรัฐมนตรีก็กลับมาทำงาน หากเป็นลบ ก็มีกลไกในการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีกลไกสภารองรับ ส่วนจะเป็นไปทางไหน ชอบหรือไม่ชอบก็เท่านั้น สุดท้ายบ้านเมืองจะมีทางออกได้ นี่คือกลไกปกติ แต่ต้องไม่มีกลไกนอกกติกา นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เกิดกับประเทศ ขอให้เชื่อมั่นในประเทศไทย ยืนยันหลักการตามระบอบประชาธิปไตย มั่นใจว่าอย่างไรก็ไปได้" รมช.คลัง กล่าว
- ไร้สัญญาณยุบสภา รัฐบาลยังเดินหน้าบริหารประเทศได้
ส่วนกรณีข้อเสนอของพรรคประชาชนนั้น ไม่ใช่องค์ประกอบของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องใช้เสียงจากพรรคประชาชนเข้ามาสนับสนุน แต่ในอีก 2-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภูมิทัศน์ทางการเมืองอาจจะเปลี่ยนไป อาจจะต้องใช้เสียงของพรรคประชาชนเข้ามาสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง นั่นก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ละคน โดยเฉพาะการเลือกนายกรัฐมนตรี ถึงเวลานั้น พรรคเพื่อไทยคงไปบังคับ หรือกะเกณฑ์คนอื่นไม่ได้
แต่ในมิติการเมืองที่แท้จริงแล้ว หากเดินหน้าที่จะเป็นรัฐบาลที่มีเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่ง เพียงเพื่อมาโหวตนายกรัฐมนตรีอย่างเดียว แล้วกลไกขับเคลื่อนอื่น ๆ จะเดินหน้ากันอย่างไร จะบอกว่าเข้ามาเป็นรัฐบาลเพียงเพื่อแก้ไขมติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วมิติของสภาฯ จะเป็นอย่างไร การแก้ไขปัญหาของประชาชน หรือการออกนโยบายต่าง ๆ ทั้งหมดจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้เลย
"ผมไม่ได้มองเรื่องข้อเสนอของพรรคประชาชนเป็นผลบวก หรือเป็นทางออก ส่วนถามว่าจะมีการยุบสภาก่อนหรือไม่ โดยสภาพแล้วยังไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่นำไปสู่จุดนั้น ขณะนี้รัฐบาลยังขับเคลื่อนได้อยู่ การแก้ไขปัญหาของประชาชน ยังเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราปล่อยมือจากพวงมาลัย การขับเคลื่อนจะทำได้หรือ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อแก้ไข และขับเคลื่อน" นายจุลพันธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าแม้จะมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้ แต่ข้าราชการยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาเกียร์ว่างอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในมิติของกระทรวงการคลัง ซึ่งข้าราชการมีความเป็นมืออาชีพ และเป็นมือไม้สำคัญในการทำให้นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลประสบความสำเร็จ