ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้มีการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจาที่มี สส. รัฐบาล และฝ่ายค้านเสนอจำนวน 7 ญัตติ เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงในการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ระหว่างไทย-สหรัฐฯ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เข้าร่วมรับฟังการประชุมด้วย ประกอบด้วย
- ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาการออกมาตรการและดำเนินนโยบายเพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงในการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา เพื่อส่งคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป ซึ่งนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เสนอ
- ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางรับมือผลกระทบจากนโยบาย Reciprocal Tariffs เพื่อส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งนายรวี เล็กอุทัย สส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ
- ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อกำหนดมาตรการรองรับ และเสนอรัฐบาลดำเนินการในการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ ซึ่งนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้เสนอ
- ญัตติด่วน เรื่อง ผลกระทบต่อประเทศไทยจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาและสงครามการค้าโลก เพื่อให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป ซึ่งนายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี พรรคกล้าธรรม เป็นผู้เสนอ
- ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณามาตรการทางภาษีตอบโต้ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศไทย เพื่อส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งนายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอ
- ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาความคืบหน้าการเจรจาภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาในอัตรา 36% และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา เพื่อส่งคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป ซึ่งนายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้เสนอ
- ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อการต่อรองกรณีภาษีทรัมป์ และมาตรการป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรไทย เพื่อส่งข้อเสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้เสนอ
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ผลลัพท์ของเจรจาเรื่องดังกล่าววันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) ทราบผลว่าอาจไม่เลวร้าย และได้รับการปรับภาษีที่ต่ำกว่า 36% และเป็นประโยชน์กับเกษตรกรและคนไทย แต่สิ่งจำเป็นที่ต้องรู้คือรัฐบาลแลกอะไรกับการเจรจา เพื่อให้คนไทยรับมือกับผลกระทบและต้องปรับตัวอย่างไร ทั้งนี้ตนมีข้อเสนอเพื่อส่งต่อไปยังรัฐมนตรีต่อการทำงานเชิงรุกในเวทีต่างประเทศ คือ
1.เปลี่ยนการวางตัวจากประเทศคอยทำตามกติกา ไปเป็นผู้ร่วมกำหนดกติกาผ่านเวทีอาเซียน
2.เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับนักลงทุน ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐฯ หรือจีน มายังไทย ผ่านการขจัดกฎที่เป็นอุปสรรคหรือ กิโยตินกฎหมายเพื่อให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนโดยสะดวก
3.เปิดเวทีการเจรจากับประเทศมหาอำนาจที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่เป็นลูกไล่ ผ่านการกำหนดข้อตกลงในการโอนถ่ายเทคโนโลยี สร้างมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่น ไม่ใช่ให้เกิดการกินรวบทั้งตลอดห่วงโซ่อุปทานในประเทศ เช่น ล้งรับซื้อผลไม้ หรือการร่วมลงทุนผ่านพลังงานสีเขียวเป็นต้น
4.ยกระดับมาตรฐานของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศพัฒนาแล้วโดยเร็ว เช่น การเข้ารวมกลุ่มกับประเทศโอเอซีดี
5.กำหนดบทบาทให้ประเทศไทยเป็นผู้นำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคอาเซียน
"สิ่งสำคัญไม่ว่าจะเดินเกมแบบไหน ต้องใช้การเดินบนหลักการทางการทูต เพื่อไม่ให้มองว่าไทยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมขอให้รัฐบาลสร้างความตระหนักต่อการสื่อสารกับประชาชน ในการเจรจาที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน" นายณัฐพงษ์ กล่าวสำหรับการเตรียมความพร้อมในการรับมือภาษีสหรัฐฯ นายณัฐพงษ์ อภิปรายว่า เมื่อพิจารณาจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นงบประมาณ 3 ไม่กับการรับมือภาษีทรัมป์ คือ 1.ไม่ระบุชัดเจนว่าโครงการหรือแผนงานใดรับมือหรือเยียวยาผู้ได้ร้บผลกระทบจากภาษีทรัมป์อย่างไรบ้าง แต่มีเพียงการตั้งงบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อจ้างล็อบบี้ยีสต์ในสหรัฐฯ 2.ไม่มีการเชื่อมโยงโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อรับมือกับผลกระทบ หรือตามอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ และ 3.ไม่มีตัวชี้วัดหรือเป้าหมายใด ๆ ในการเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่อุปทาน
"กรณีดังกล่าวสะท้อนภาพที่ประชาชนบอกว่า ไม่มีการเตรียมรับมือจริงจังและการรับมือล่วงหน้า รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ผมมีข้อเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการในระยะสั้นคือ การตั้งกลุ่มภาคี ภาครัฐและเอกชน ที่ติดตามสถานการณ์รวมถึงผลกระทบระยะยาว รวมถึงรัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลการเจรจาว่าสหรัฐฯ มีข้อเรียกร้องอะไร และไทยให้อะไรบ้าง นอกจากนั้นแล้วต้องวางกรอบการเงินเผื่อเยียวยาแรงงานผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รวมไปถึงต้องบังคับใช้กฎหมาย กำกับอย่างเข้มงวด ต่อประเด็นการนำเข้าสินค้าของประเทศอื่น" นายณัฐพงษ์ กล่าว