ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 หลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 69 ได้พิจารณาแล้วเสร็จนั้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ ปี 69 ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาร่างงบประมาณฯ ปี 69 เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยให้ให้ความสำคัญกับการดำเนินภารกิจเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ เป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง
โดยพิจารณาตามความจำเป็น และภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ และแผนพัฒนาพื้นที่ตามความต้องการของประชาชน ตลอดจนคำนึงถึงฐานะการคลัง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนหน่วยรับงบประมาณ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
นายพิชัย ได้มีข้อสังเกตในภาพรวมที่สำคัญ เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปีงบประมาณ 69 ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านรายได้ และรายจ่าย การเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะให้ลดลงในระยะยาว เพื่อให้มีพื้นที่การคลังไว้ใช้ในยามเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในอนาคต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาแต่ละจังหวัด ที่มีความเฉพาะเจาะจงและแตกต่างกันไปตามบริบทในพื้นที่ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่
คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ปรับลดประมาณรายจ่ายลง จำนวน 8,920 ล้านบาท โดยได้พิจารณาสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเป้าหมาย ผลการดำเนินงานจริง ความคุ้มค่า และความพร้อมในการดำเนินงาน และศักยภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนให้ความสำคัญกับเงินนอกงบประมาณ หรือรายได้ที่จัดเก็บของหน่วยรับงบประมาณเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา เช่น
1. รายการที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ คาดว่าใช้จ่ายไม่ทันปีงบประมาณ หรือรายการผูกพันงบประมาณเดิมที่ต่ำกว่างบประมาณเสนอไว้
2. รายการไม่สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน หรือดำเนินการไปแล้ว แต่ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ
3. รายการที่ชะลอได้ โดยไม่กระทบภารกิจให้บริการประชาชน หรือทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
4. รายการที่ยกเลิก หรือใช้งบจากส่วนอื่นนอกจากงบประมาณได้ เช่น เงินที่จัดเก็บเอง เงินสะสมคงเหลือ
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงต่อว่า สำหรับการเพิ่มงบประมาณนั้น คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาตามความเหมาะสม จำเป็นเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ได้แก่
1. งบกลาง เพื่อเงินสำรองกรณีฉุกเฉินจำเป็น
2. สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มในส่วนเงินเดือนของบุคลากรของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
3. กระทรวงการคลัง ได้เพิ่มงบประมาณให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในจัดการประชุมสภาผู้ว่าธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 69
4. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของคนพิการ
5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของกรมฝนหลวง เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็ก
6. กระทรวงยุติธรรม ให้กับกรมคุมประพฤติ เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อติดตามผู้ถูกคุมประพฤติผู้ติดยาเสพติด
7. กระทรวงแรงงาน ในส่วนสำนักงานประกันสังคม เป็นค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ในการชำระเงินสมทบของฝ่ายรัฐบาล สำหรับเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ในส่วนที่รัฐค้างชำระ
8. รัฐวิสาหกิจ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนค่างานโยธา ตามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ
9. จัดสรรให้หน่วยงานศาล และหน่วยงานองค์กรอิสระ และองค์กรอัยการ เพื่อเป็นงบบุคลากรและสนับสุนนดำเนินงานตามภารกิจ
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ใน 2 ส่วน คือ ลดงบกระทรวงสาธารณสุข 70 ล้านบาท ในส่วนการถ่ายโอนบุคลากร เพื่อเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อเป็นเงินอุดหนุนบุคลากรสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรใน สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และลดงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 114 ล้านบาท เพื่อให้กับเทศบาลเมือง 3 แห่ง และเทศบาลตำบล 1 แห่ง
"การพิจารณารายละเอียดงบประมาณ ปรับลด ปรับเพิ่ม และเปลี่ยนแปลงงบประมาณนั้น คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อความพร้อม และศักยภาพของหน่วยงาน ความซ้ำซ้อน เป้าหมายดำเนินงาน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และภารกิจกระตุ้นเศรฐกิจ การแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน และประโยชน์โดยตรงกับประชาชน รวมถึงสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต เข้มแข็ง รองรับปัจจัยภายในและภายนอกได้อย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงการดำเนินงานไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้อยู่ในกรอบวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ
ขณะที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานสส.พรรค ย้ำว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดในการพิจารณางบฯ วาระ 2 และ 3 จึงเชื่อว่าคนที่เป็นรัฐมนตรี และสส. ต้องมาอยู่ที่สภาฯ หากทุกคนมาอย่างไรองค์ประชุมครบแน่นอน ถึงฝ่ายค้านไม่เป็นองค์ประชุมเราก็สามารถพิจารณาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการวางแผนว่าหากองค์ประชุมไม่ครบแล้วจะต้องพิจารณางบฯ 4-5 วัน เพราะเชื่อว่าเราสามารถทำได้และจบใน 3 วัน
ส่วนการลงมติเป็นรายมาตราและต้องมีการแสดงตน หากองค์ประชุมล่มจะทำอย่างไร นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจว่าไม่ล่ม เพราะเราคุยกันแล้วในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ หน้าที่ผู้แทนก็รู้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา 3 วันจะอยู่ด้วยกัน เพราะสส. ต้องรู้หน้าที่ไม่ต้องถึงขั้นคาดโทษเพราะเชื่อมั่นว่าครั้งนี้ไม่มีล่ม มั่นใจเราก็คุยกันตลอด ซึ่งวิปรัฐบาลต้องไปกำชับกันอีกครั้ง