
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวว่า หลังจากผ่านกระบวนการถกเถียงอภิปราย และแลกเปลี่ยนกันอย่างรอบด้านแล้ว ทุกองคาพยพของพรรคฯ มีความเห็นไปทางเดียวกันว่า จำเป็นจะต้องใช้อำนาจในสภาฯ ของพวกเราที่มี สส. อยู่ 143 คน ในการหาทางออกให้กับประเทศ และกำกับทิศทางเดินหน้าสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว ภายใต้กรอบระยะเวลาที่เหมาะสม และเปิดประตูสู่การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ดังนั้นเมื่อมีเป้าหมายแบบเดียวกัน ที่เห็นทางออกของประชาชน และประเทศเป็นตัวตั้ง จึงทำให้พวกเราได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันตามมติของพรรค และขอยืนยันว่า การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการรับรู้พร้อมกันของทุกฝ่าย

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวด้วยว่า การหารือได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ซึ่งเกิดขึ้นผ่านการประชุมของผู้บริหารพรรคฯ ในคืนที่ผ่านมาจนถึงเช้าวันนี้ เพื่อกลั่นกรองสถานการณ์ล่าสุด ก่อนตัดสินใจสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ทั้งนี้ ตนจะลงนามใน MOA ก่อน ส่วนพรรรภูมิใจไทย หากยอมรับเงื่อนไข 5 ข้อ นายอนุทิน ก็ต้องลงนามด้วยเช่นกัน พร้อมกับแถลงต่อสาธารณชน
ส่วนหลักประกันและความมั่นใจในการเดินไปสู่จุดนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคการเมืองที่ทำให้พวกเรามองเห็นหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ว่า จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ทำให้พรรคประชาชนใช้เสียง สส. ในส่วนที่เรามีเสียงข้างมากกว่าในฐานะฝ่ายค้านสามารถกำกับทิศทางของรัฐบาลเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดนั้น " นายณัฐพงษ์ กล่าว
แต่สถานการณ์ตอนนี้ เราเห็นตรงกันว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือ การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งไปพร้อม ๆ กับการเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คำถามคือ การที่พรรคประชาชนอยู่เฉยไม่เลือกผู้ใดตอนนี้ ก็ไม่สามารถที่จะนำไปสู่จุดนั้นได้ ขณะเดียวกัน 143 เสียง ที่พวกเรามี สามารถที่จะกำกับทิศทางให้เดินไปสู่จุดนั้นได้ ซึ่งมีความเสี่ยงที่พวกเราได้ประเมินมาอย่างรอบคอบแล้ว
การตัดสินใจครั้งนี้เชื่อว่าทุกคนมองออก ว่าไม่ได้ตัดสินใจเพื่อคะแนนความนิยมของพรรคประชาชน หรือความเสี่ยงที่พรรคประชาชนจะสูญเสียคะแนนความนิยม แต่การตัดสินใจครั้งนี้ เพื่อจะสร้างทางออกให้กับประเทศจริง ๆ
"การที่เราเขียนหลักประกันในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยต้องมีต้นทุนสูงสุด ถ้าคุณจะตระบัดสัตย์ต่อประชาชนอีก 1 ครั้ง ผมเชื่อว่าที่ผ่านมา สิ่งที่ประชาชนคนไทยได้ลงโทษต่อพรรคการเมืองที่ตระบัดสัตย์ ก็เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพวกเราตอนนี้ในทางปฏิบัติ เราก็จะพยายามกำกับให้พรรคภูมิใจไทย และนายอนุทินลงนาม และให้มีการแถลงเดินหน้าไปสู่การยุบสภา เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะเดียวกัน ถ้อยคำลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏในเงื่อนไขตรงนี้ ผมเข้าใจดีว่าในทางปฏิบัติอาจจะบิดพลิ้วได้ แต่ถ้าบิดพลิ้ว นี่ถือเป็นต้นทุนที่เขาจะต้องแลกมา" นายณัฐพงษ์ กล่าวส่วนกรอบระยะเวลา 4 เดือนที่ให้ยุบสภา นายณัฐพงษ์ เชื่อว่าประชาชนมองเห็นในฉากทัศน์ร่วมกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งตอนนี้สถานการณ์ต่าง ๆ เพียงแค่ได้วิเคราะห์ร่วมกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราประเมินตามข้อเท็จจริงในปัจจุบันเป็นหลัก ส่วนในอนาคต เราก็ประเมินความเสี่ยงมาประกอบเช่นเดียวกัน ถ้าถามว่าจะเป็นไปตามกรอบเวลา 4 เดือนหรือไม่ พรรคประชาชนมีหน้าที่กำกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้เดินไปสู่จุดนั้นหากในอนาคต
"หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น อาจมีการบวกลบนิดหน่อย ก็ต้องผ่านการเปิดช่องแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ก่อน กรณีซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มีการทำประชามติ 2 ครั้ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่สามารถชี้แจงต่อสาธารณชนได้ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เช่นเดียวกัน แต่ขอย้ำว่า ตอนนี้เราต้องยึดหลักข้อตกลงกรอบระยะเวลา 4 เดือน เป็นสำคัญที่สุด" หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมยื่นยุบสภานั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เวลานี้ต้องยึดข่าวสารจากผู้มีอำนาจตัวจริง เพราะมีการปล่อยข่าวจากหลายส่วน ทำให้เกิดสถานการณ์ความไม่แน่นอน ตนและผู้บริหารพรรคตัดสินใจอยู่บนข้อเท็จจริง ในการที่ทูลเกล้าฯ ยุบสภานั้น จะต้องให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นคนบอก
"สิ่งที่พรรคประชาชนต้องทำตอนนี้ คือ เราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ ในกรณีที่จะมีการทูลเกล้าฯ เสนอให้ยุบสภา หรือไม่ยุบสภาอย่างไรก็ต้องไปถามพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ ถ้ามีการทูลเกล้าฯ ยุบสภาไปแล้ว แล้วจะเกิดสถานการณ์อย่างไรต่อ ก็ต้องไปถามประธานรัฐสภาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร รวมถึงพรรคภูมิใจไทยด้วยเช่นกัน ว่าจากเงื่อนไขที่ผมได้แถลงไปแล้ว พรรคภูมิใจไทยตอบรับเงื่อนไขนี้หรือไม่" นายณัฐพงษ์ กล่าวทั้งนี้ หากเกิดการยุบสภาขึ้นจริง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกพรรคต้องพร้อมเลือกตั้งในทุกวัน และพร้อมที่จะเสนอนโยบาย รวมถึงทางออกของประเทศได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี ภายหลังจบการแถลงข่าว นายณัฐพงษ์ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง ก่อนจะส่งมอบให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทยและคณะ เป็นตัวแทนในการรับมอบ MOA เพื่อนำไปให้นายอนุทิน ลงนาม
ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ ไม่ตอบคำถามถึงกรณี MOU ของ 8 พรรค ที่พรรคก้าวไกลเคยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย ยังเคยถูกฉีกมาแล้ว แล้วคิดว่า MOA ครั้งนี้จะมีอายุนานเท่าไร โดยนายณัฐพงษ์ เพียงแต่ยิ้มให้เท่านั้น
ด้านนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ ประธาน สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงขั้นตอนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่า กระบวนการลงมตินายกฯ นั้น วันนี้ในเวลา 10.00 น. นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ส่งข้อความนัดหมายตั้งแต่เมื่อวานว่า วันนี้ได้นัดประชุมวิป 2 ฝ่าย เพื่อหารือถึงการกำหนดวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตามข้อบังคับแล้ว หากมีการบรรจุระเบียบวาระเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะมีการลงมติเลือกนายกฯ ได้เร็วสุด คือ วันศุกร์ที่ 5 ก.ย.นี้