นายนิกร จำนง อดีตเลขานุการกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เปิดเผยว่า ในฐานะเคยร่วมผลักดันให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 แม้ต่อมาจะถูกยกเลิก แต่ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ดังนั้นการเมืองไทยน่าจะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งออกมา แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็มีแนวทางที่จะดำเนินการให้มีการเริ่มต้นจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในขั้นแรก คือการให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นคำถามหลักข้อแรก และอาจพร้อมด้วยคำถามที่ 2 ตามมาเกี่ยวกับวิธีการ และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
"คงได้แค่นี้ ภายในเวลาที่จำกัดของรัฐสภาชุดปัจจุบัน ตามสถานะข้อตกลงทางการเมืองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และอาจสามารถจัดทำประชามติดังกล่าวนี้ พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่น่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษายน 2569" นายนิกร ระบุนายนิกร กล่าวว่า ในฐานะผู้มีความคาดหวังอยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน อันมีเป้าหมายสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ออกมาเพื่อการปฏิรูปการเมือง แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ควรมีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้หลุดจากวิกฤตในเกือบทุก ๆ ด้านให้ได้ โดยอาศัยประชาชนร่วมกับรัฐสภา จึงขอร่วมเสนอกรอบแนวทาง และกรอบเวลาให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ได้ประกอบการพิจารณาร่วมกันผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนี้
1. ให้คณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาล จำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ ตามมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
2. เมื่อรัฐสภาเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ให้รอไว้ 15 วัน จึงให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป ตามข้อบังคับการประชุม ข้อ 134 แต่อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 135 ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงต้องมีการจัดทำประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
3. ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ คือ ดำเนินการตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 คือ ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า มีกรณีต้องออกเสียงประชามติตามมาตรา 9 (1) และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีการกำหนดวันออกเสียงตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
กรณี พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ให้มีการกำหนดวันออกเสียงตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา โดยให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม และสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมโดยสรุป ในลักษณะที่ประชาชนจะสามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยสะดวกให้นายกรัฐมนตรีทราบ พร้อมส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการต่อไป
4. รัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ คงสามารถดำเนินการได้แค่นี้เท่านั้น ที่เหลือเมื่อยุบสภาแล้วการทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ก็ดำเนินการต่อเนื่องไป ถ้าประชามติข้อแรกโดยประชาชนเห็นชอบกับการให้จัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านไปไดั ก็ต้องดูว่ารายละเอียดข้อ 2 ที่สมควรมี สสร.จากการเลือกตั้งโดยอ้อม แบบคล้ายกับตอนปี 2540 ผ่านหรือไม่ ถ้าผ่าน ก็จะมีการดำเนินการให้มี สสร. มาร่วมกับรัฐสภาชุดใหม่หลังการเลือกตั้งดำเนินการต่อไป จนได้รัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ที่ทุกคนเฝ้ารอ