เวทีแรก! พรรคประชาชน ตั้งทีมชำแหละนโยบายรัฐบาล "อนุทิน" ชู 4 โจทย์ใหญ่ตรวจเข้ม

ข่าวการเมือง Friday September 19, 2025 14:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน เปิดเผยถึงบทบาทของพรรคประชาชนในการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งเวทีแรกในการตรวจสอบรัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้ คือเวทีการอภิปรายเรื่องคำแถลงนโยบาย โดยพรรคประชาชนมีการตั้งทีม และเตรียมผู้อภิปรายในระดับหนึ่งแล้ว แบ่งเป็น 4 หมวดหมู่ ได้แก่

1. การตรวจสอบและติดตามการรักษาสัญญา ตามเงื่อนไข MOA และตรวจสอบกรอบเวลาการทำงานของรัฐบาลตามเงื่อนไข 4 เดือน รวมถึงรายละเอียดแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่า MOA ไม่ได้พูดถึงเรื่องของรายละเอียดครม. เพราะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แต่ยืนยันว่าการทำหน้าที่ตรวจสอบครม.อนุทิน จะไม่น้อยไปกว่าครม. ชุดก่อน กลไกที่ผ่านมาใช้กลไกของสภา ในการตรวจสอบทั้งการตั้งกระทู้ถามสด การยื่นญัตติด่วนด้วยวาจา หรือกลไกกรรมาธิการ ไปจนถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้น ยังคงใช้มาตรฐานเดิมในการตรวจสอบการทำหน้าที่ครม. นายอนุทิน

2. เดินหน้าตรวจสอบประเด็นที่สังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ทั้งกรณีฮั้วสว. และที่ดินเขากระโดง ซึ่งขณะนี้มีทีมที่ถูกตั้งขึ้นมานำโดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้รวบรวมข้อมูลและเตรียมอภิปรายในเรื่องดังกล่าว

นอกจากเรื่องเขากระโดงกับฮั้วสว. แล้ว ก็คงจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่สังคมตั้งคำถามถึงท่าทีของพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน ทั้งจุดยืนเรื่องนโยบายกัญชาและคดีการเมือง ซึ่งภายหลังจากนายอนุทิน เป็นนายกฯ หลายคนมีความกังวลเพราะจะเห็นว่ามีประชาชนหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับการประกันตัว รวมถึงการดำเนินคดีและจำคุกที่มีโทษสูง 10-20 ปี เป็นหลายประเด็นที่ต้องจับตาดูว่าท่าทีของรัฐบาลใหม่จะเป็นเช่นไร

3. ตรวจสอบนโยบายเฉพาะหน้าที่คิดว่ารัฐบาลชุดนี้จะผลักดัน ทำให้คุณภาพชีวิตและปากท้องของประชาชนดีขึ้น ทั้งเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างโครงการ "คนละครึ่ง" ที่มีการแย้มออกมาจะมีเงื่อนไขอย่างไรที่จะสามารถเพิ่มการบริโภคได้จริง รวมไปถึงการป้องกันไม่ให้มีการใช้งบประมาณปี 69 เพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง หรือตนเอง ที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและประชาชน

4. ตรวจสอบความเหมาะสมของรายชื่อครม. ที่ประกาศมา และเมื่อดูจากรายชื่อแล้วก็เป็นไปตามโผ ซึ่งมีทั้งรายชื่อใหม่ที่สังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น กรณีของรมว.ยุติธรรม ซึ่งเป็นอดีตตำรวจในจังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในทีมหรือภายใต้การบังคับบัญชาของอดีตตำรวจที่เป็นสว. อยู่ และถูกตั้งคำถามคดีฮั้วสว. อยู่ และมีหลายรายชื่อที่เป็นชื่อเดิม เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ยังคงตั้งคำถามถึงความเหมาะสมเรื่องคุณสมบัติ และศักยภาพในการทำงาน

นายพริษฐ์ กล่าวว่า จุดยืนพรรคประชาชนเหมือนเดิม ตรวจสอบรัฐบาลก่อนอย่างไร ก็จะตรวจสอบรัฐบาลนี้เช่นนั้น หากย้อนไปตั้งแต่สมัยของพรรคก้าวไกล ในกรณีการตรวจสอบของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรมว.คมนาคม ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ หรือกรณีการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณของสภาฯ ในกรณีของนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ก็มีการใช้กลไกองค์กรอิสระในการตรวจสอบการทุจริต

ส่วนการให้คะแนนครม. ชุดใหม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนเจอคำถามนี้ในฐานะสส. ฝ่ายค้าน ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐาและ น.ส.แพทองธาร จึงขอใช้มาตรฐานเดิมคือ ไม่ให้ตัวเลข เพราะท้ายที่สุดคนที่ให้ตัวเลขได้ดีที่สุดคือประชาชน พร้อมย้ำว่า ต้องตรวจสอบนโยบายในระยะเวลา 4 เดือนว่า จะมีนโยบายแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ตรงจุดหรือไม่ และมีหลายรายชื่อ ที่ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมอยู่ และหากเป็นรายชื่อของบุคคลเหล่านั้นก็ให้คะแนนเท่ากัน ประชาชนคิดว่าควรให้คะแนนแบบไหนในสมัยก่อน ในเวลานี้ก็น่าจะเป็นคะแนนพอ ๆ กัน

ส่วนความกังวลหากรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะแปลงร่างไปเป็นเสียงข้างมากหรือไม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ลองเอาคณิตศาสตร์มากางกันดู ถ้าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย สามารถรักษาความเป็นเอกภาพของสส.พรรคตนเองได้ เอาแค่สองพรรครวมกันเป็น 280 เสียง หรือหากบวกพรรคประชาชาติอีก 10 เสียง ได้ประมาณ 290 เสียง บวกลบคูณหารแล้วรัฐบาลรวมกันได้มากสุดแค่ 210-220 เสียง

ดังนั้น ตราบใดที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ของตนเอง ในการรักษาเอกภาพของสส. ตนเองได้ก็ไม่มีความกังวล เรื่องรัฐบาลเสียงข้างมากจากคณิตศาสตร์ที่เป็นอยู่ในวันนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ