
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ชี้แจงการอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย โดยยืนยันว่า นโยบายของรัฐบาลสามารถ "ทำได้จริง" เพราะผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าสามารถทำได้ และ"ทำเป็น" เพราะในคณะรัฐมนตรีที่ได้คัดสรรมา ล้วนแต่เป็นคนที่มีประสบการณ์ในวิชาชีพทุก ๆ ด้าน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน ตนก็ได้ตรวจสอบประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน พฤติกรรม ซึ่งสามารถยืนยันว่า ทุกคนมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชน
ส่วนที่มีหลายคนพูดว่ารัฐบาลนี้ขาดคนมีฝีมือนั้น ตนเชื่อมั่นว่าทุกคนที่อยู่ในรัฐบาลนี้ตนคัดเลือกเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากเรื่องของคุณงามความดีที่แต่ละคนได้มีความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนและผลงานความรู้ประสบการณ์รัฐบาล 4 เดือนนี้เต็มไปด้วยบุคคลที่มีฝีมือ มีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในในชีวิต
ขณะนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะแสดงผลงาน เพราะรัฐบาลนี้ได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีทุกคนแล้วว่า ไม่มีคำว่า คนละพรรค เพราะนี่คือ พรรครัฐบาล ไม่มีขัดแข้งขัดขา ไม่มีความกังวลใด ๆ ว่า พรรคไหนทำอะไรแล้วได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่า
"อย่างน้อยนายกรัฐมนตรีคนนี้จะไม่มีใครมาบงการได้ และตัดสินใจเอง คิดเอง และหารือกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด หารือกับบรรดาสมาชิกสภาทั้งหมด ในการตัดสินใจทำประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชน"นายอนุทิน กล่าวพร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ทุกนโยบายและการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายและระเบียบที่ถูกต้อง โดยรัฐบาลพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาตรวจสอบได้อย่างตรงไปตรงมา
สำหรับแนวทางการทำงานทางการเมืองของรัฐบาลนั้น รัฐบาลจะทำงานร่วมกับสมาชิกรัฐสภาทุกคน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน พร้อมยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนในรัฐบาลชุดนี้ทำงานโดยอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การบงการจากใคร นอกจากนั้น ลักษณะของรัฐบาลปัจจุบัน นับว่าเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่เข้ามาแก้ไขปัญหาและความเสียหายของประเทศที่เกิดจากรัฐบาลที่แล้ว โดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะยุบสภาตามข้อตกลง (MOA) เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
"ขอนับวันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันแรก แล้วนับไป 4 เดือนก็คือวันที่ 31 มกราคม ยุบสภาแน่นอน ถือเป็นพันธะระหว่างพรรคที่ลงนามใน MOA กับทางพรรคประชาชน" นายอนุทิน กล่าวตนเห็นพ้องกับทางพรรคประชาชน เมื่อถึงเวลาอันสมควรต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน สิ่งที่ตนจะทำให้สำเร็จคือการเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่ต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้วมา ตนยอมรับในสภาพนี้และคณะรัฐมนตรีของตนอีก 35 คนจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเรียกความเสียหาย ความสูญเสีย ในเรื่องเกียรติภูมิของประเทศ เศรษฐกิจ ขวัญกำลังใจ และความปลอดภัยของประชาชนกลับมาสู่ประเทศไทยและคนไทยให้ได้ ในระยะเวลาที่ตนทำงานอยู่ 4 เดือน และมั่นใจว่า ทำได้เพราะได้เตรียมการเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว
ขณะที่การพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ส่วนใหญ่ในนโยบายของรัฐบาลนี้ไม่ตรงความต้องการของประชาชน ตนมองต่างเพราะรัฐบาลนี้ยกเลิกคาสิโน ยกเลิกเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ไม่เอาเงินดิจิทัล 10,000 บาทไปให้ประชาชนเฉย ๆ แต่เราใช้วิธีการแบบมีส่วนร่วม ไม่มอมเมาประชาชนด้วยการพนัน ไม่ขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจการพนัน ซึ่งตนมั่นใจว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกับรัฐบาลชุดนี้ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พรรคของตนถูกเชิญออกจากรัฐบาล เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพราะพรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลในขณะนั้น
ทั้งนี้ ตนขอชื่นชมกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ถือเป็นนโยบายที่มีคุณประโยชน์กับคนไทยมหาศาลตราบจนถึงปัจจุบัน แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่เป็นผลงานของตนทำมาตั้งแต่สมัยอยู่กระทรวงสาธารณสุข 4 ปี ตนเป็น รมว.สาธารณสุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในการทำงานของรัฐมนตรีหลาย 10 คนที่ผ่านมา เรื่องเหล่านี้ได้ใช้เวลาทั้ง 4 ปี ประสานงานกับหลายหน่วยงาน รวมถึงให้มีโครงการฟอกไตฟรี ซึ่งตนจะนำกลับมาในรัฐบาลของตนอีกครั้ง ซึ่งนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข จะต้องทำให้เห็นภายใน 2 เดือนหรือสั้นกว่านั้น ไม่เช่นนั้นตนจะดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุขเอง
อย่างไรก็ตาม ตนเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกับ นพ.ชลน่าน พยายามทำงานสนองนโยบาย ยกเว้นเรื่องที่ต้องไปแตะกับความมั่นคงของประเทศ รวมถึงความเสียหายของประเทศ และคุณภาพของประชาชน ตนจึงต้องตัดสินใจที่จะไม่ร่วมนโยบายนี้ และถือว่าเป็นเกียรติที่ถูกเชิญออกมา และขอยืนยันว่า นโยบายและการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ และรัฐมนตรีทุกคนที่ทำงานอย่างหนักจะผลักดันทุกนโยบายให้เป็นทางออกของประเทศ
นายอนุทิน ยังย้อนคำพูดเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตนได้อยู่ในคณะรัฐบาลซึ่งมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น ซึ่งหลายคนยอมรับ ทำความเจริญมากมายให้กับประเทศ ซึ่งการประชุมคณะรัฐมนตรีมีแต่การพูดถึงปัญหาให้คณะรัฐมนตรีฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ ขณะนั้นตนดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายทักษิณมักไม่พอใจที่คณะรัฐมนตรีที่นำเอาปัญหามาเป็นข้อแก้ตัวในการทำงาน ซึ่งตั้งแต่วันนั้นมาบอกกับตัวเองว่า จะไม่มีวันให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตน ถ้าตนต้องทำงานไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือทำงานที่ไหนก็ตาม
นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อมีปัญหาเช่นนี้ นายทักษิณจะปิดไมค์รัฐมนตรีคนนั้นและพูดว่าจำไว้นะ " loser see problem in every solution" ซึ่งแปลว่า "จำไว้นะ ผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออก" และ "winner see solution in every problem" ซึ่งแปลว่า "ผู้ชนะจะเห็นทางออกในทุกปัญหา" ตนและคณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คนเป็นอย่างหลัง ชนะหรือไม่ ไม่รู้ แต่พวกตนเห็นทางออกในทุกปัญหา ถือเป็นเจตนารมย์อันแน่วแน่ของรัฐบาลชุดนี้