น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายคำแถลงนโยบายรัฐบาลว่า นโยบายที่ดีควรจะต้องเป็น GPS ระบบนำทางที่ดีเพื่อบอกว่าเป้าหมายของรัฐบาลคืออะไร จะเดินไปตามเส้นทางไหนเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น ด้วยเส้นทางหรือวิธีการใด และจะถึงเป้าหมายได้เมื่อใด
แต่จากที่อ่านคำแถลงนโยบายรัฐบาลในรอบนี้ ก็พบว่าไม่ได้แตกต่างไปจากคำแถลงนโยบายของ 2 รัฐบาลก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งไม่ได้แตกต่างไปจากนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สักเท่าใด
"เชื่อว่าคงจะเป็น GPS ไม่ได้ คงจะหลงทางเหมือนเดิม เพราะไม่ได้บอกอะไร มีแต่คำกว้าง ๆ ลอย ๆ ขาดความชัดเจนของเป้าที่จะไปถึง ไม่มีการใส่ตัวชี้วัดใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะรู้ไทม์ไลน์แน่ชัดว่าเป้าหมายของรัฐบาลนี้ ทุกอย่างจะต้องเสร็จภายใน 4 เดือน" น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอย่างไรก็ดี ยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังกับนโยบายของรัฐบาลชุดนี้เท่าใดนัก รวมทั้งไม่ได้คาดหวังว่าจะทำตามได้นโยบายหรือไม่ เนื่องจากอายุของรัฐบาลนี้สั้นมาก มีข้อจำกัดทั้งมิติของระยะเวลา และมิติของงบประมาณ ที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นผู้จัดทำงบประมาณเอง
"แต่สิ่งที่ฝ่ายค้านคาดหวังจากรัฐบาล คือ ต้องเห็นการบริหารประเทศแบบประคับประคองไปจนถึงการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งหน้า เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน และต้องไม่ตัดสินใจอะไรที่จะทำให้เกิดความเสียหายในแบบที่จะแก้ไขอะไรอีกไม่ได้ในอนาคต และที่สำคัญต้องไม่ฉวยโอกาสที่จะหากินกับภาษีของประชาชน ขอแค่นี้เอง" รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าว
พร้อมเข้าใจดีว่า ด้วยระยะเวลาอันจำกัดของรัฐบาล จึงทำให้ทุกนโยบายที่ออกมาต้องเป็นนโยบายเร่งด่วน สิ่งที่เราคาดหวัง คือ ต้องทำอย่างไรถึงจะสำเร็จได้ภายใน 4 เดือน
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า แม้จะมีความคาดหวังต่อรัฐบาลน้อยขนาดนี้ แต่ก็ยังผิดหวัง คำแถลงนโยบายไม่ได้ช่วยสร้างความชัดเจน ตรงกันข้ามกลับสร้างคำถามขึ้นมากมายถึงความไม่ชัดเจนที่จะนำไปสู่ "Big Quick Win" ตามที่นายกรัฐมนตรีตั้งเป้าหมายไว้ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ "ที่มีแต่ What ขาด How" ยกตัวอย่าง 1.การแก้หนี้รายบุคคล ยอดหนี้รายละไม่เกิน 1 แสนบาท รัฐบาลจะใช้วิธีการใด เช่น ซื้อหนี้, ปรับโครงสร้างหนี้ หรือจะตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ขึ้นมาใหม่ 2.การเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาทที่ไม่มีรายละเอียดของการดำเนินการ 3.การรักษาระดับราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก็ไม่เขียนบอกว่าจะใช้วิธีการอุดหนุน หรือจะใช้การบริหาร Demand / Supply เป็นต้น
นอกจากนี้ บางนโยบายก็ยังมองไม่เห็นว่าจะสำเร็จได้ภายใน 4 เดือน เช่น การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน, การ Upskill-Reskill เป็นต้น
สำหรับโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" นั้น น.ส.ศิริกัญญา เชื่อว่าไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ แต่แค่แปลกใจที่คนที่มักออกมาให้ข่าวเรื่องนี้มากที่สุดกลับไม่ใช่รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แต่เป็นรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงตั้งข้อสังเกตว่าโครงการนี้ เป็นโครงการด้านการเมือง หรือโครงการด้านเศรษฐกิจกันแน่
พร้อมเห็นว่า โครงการคนละครึ่งพลัสที่อาจไม่ได้มีแค่เฟสเดียว คือ เฟสแรกเดือนพ.ย.-ธ.ค. และจะมีเฟสอื่นต่อไปตามมา ซึ่งหากดูเฉพาะการใช้งบประมาณ เฟสแรก ราว 66,400 ล้านบาท (ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน ใช้งบ 22,000 ล้านบาท, คนที่ไม่ได้ยื่นภาษี 9 ล้านคน ใช้งบประมาณ 18,000 ล้านบาท, คนที่ยื่นภาษี 11 ล้านคน ใช้งบประมาณ 26,400 ล้านบาท) ในส่วนของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้งบ 22,000 ล้านบาทจากงบกลางปี 68 ส่วนของเงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน ซึ่งมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องอนุมัติให้ทันในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.) เพราะถือเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568
ส่วนการทำโครงการคนละครึ่งพลัส ที่เหลืออีก 2 กลุ่ม คือ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ยื่นภาษี ใช้งบ 18,000 ล้านบาท และผู้ที่ได้ยื่นภาษี ใช้งบ 26,400 ล้านบาทนั้น รัฐบาลจะใช้งบกลาง ปี 69 ที่มีอยู่ 124,000 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเห็นว่าแค่การทำโครงการเฟสแรก รัฐบาลก็ใช้เงินไปแล้วถึง 1 ใน 3 ของงบกลางปี 69 ที่มีอยู่
"44,000 ล้านบาท ที่จะใช้ในปี 69 ถือเป็น 1 ใน 3 ของกระสุนทางการคลังที่เหลืออยู่ งบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของปี 69 งบกลางเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินเพื่อจำเป็น รวม 124,000 ล้านบาท แต่เฉพาะเฟสแรกของคนละครึ่ง กดไปแล้ว 1 ใน 3 และยังบอกด้วยว่าจะมีเฟส 2 ต่อ ไหนยังจะมีโครงการลดค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่านทาง เยียวยาผลกระทบภาษีทรัมป์ การฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวอีก ท่านจะไม่เหลือเงินสำรองจ่ายไว้ให้รัฐบาลหน้าได้ใช้เลยหรือ การเร่งอนุมัติงบประมาณเช่นนี้มีความน่าเคลือบแคลง" น.ส.ศิริกัญญา กล่าวรองหัวหน้าพรรคประชาชน ยังตั้งข้อสังเกตว่าโครงการคนละครึ่งต้องการทำเพื่อตอบโจทย์ใดกันแน่ เพราะกรณีคนละครึ่งพลัส หากไม่ปรับเงื่อนไขก็จะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ขณะที่การเติมเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และเห็นว่ารัฐบาลที่ผ่านมาก็เพิ่งแจกเงิน 10,000 บาทไป แต่ก็มองว่าทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส และการเติมเงินบัตรคนจน ถือเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องการซื้อเสียง หรือสร้างความนิยมล่วงหน้าสำหรับการเลือกตั้งใหม่ได้แน่นอน
น.ส.ศิริกัญญา ยังเห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลนี้ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้คือ การประกาศขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 69% ของ GDP ใกล้กับเพดานที่ตั้งไว้ 70% เต็มทีแล้ว รัฐบาลจะต้องนำเสนอแผนการจัดเก็บรายได้ใหม่ ๆ เพราะขณะนี้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างจับตาประเทศไทยว่าจะแก้ปัญหาวิกฤติทางการคลังของประเทศอย่างไร
"ถ้ารัฐบาลทำแผนการจัดเก็บรายได้ การปฏิรูปภาษี ปฏิรูปการคลัง เกรงว่าจะเป็นแผนที่เอาใช้บังคับกับรัฐบาลชุดหน้า เรียกได้ว่า วินัยการคลัง มีไว้ให้รัฐบาลชุดหน้ารักษา แต่รัฐบาลนี้ขอใช้ก่อน ถ้าฝ่ายการเมืองยังเร่งรีบใช้งบประมาณแบบนี้เพื่อคะแนนนิยม แล้วรัฐมนตรีคนนอกเข้าไปนั่งนิ่ง ๆ ไม่หือไม่อือ ยอมให้ทำอะไรก็ได้ จะเกิดประโยชน์อะไรที่เราจะมีรัฐมนตรีคนนอกโปรไฟล์ดีๆ มาดูด้านเศรษฐกิจการคลัง...4 เดือนแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่มีใครโทษ ไม่มีใครว่า แต่ขออย่าสร้างความเสียหายที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ เพราะเราจะไม่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นได้อีกในอนาคต" น.ส.ศิริกัญญา ระบุ