นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดเผยถึงผลการลงนามในถ้อยแถลงกับกัมพูชา โดยยืนยันว่า ไม่มีการเปิดด่าน ถ้อยแถลงที่ลงนามกับกัมพูชา โดยที่มีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยานด้วยนั้น เป็นการกำหนดว่าแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง
"แต่ประเทศไทยก็ดีหน่อย เพราะไม่ได้เป็นฝ่ายที่ละเมิด ดังนั้น การดำเนินการทั้งหลาย จะต้องเริ่มจากทางฝ่ายกัมพูชาก่อน เช่น การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งเมื่อคืนนี้ก็ทำแล้ว และเมื่อเขาทำแล้ว เราก็ทำ เพราะเราก็มีอาวุธหนักเช่นเดียวกัน แต่ในการลงนามไม่ได้บอกว่าเราต้องถอน แต่เมื่อเขาแสดงท่าทีที่มีเจตจำนงที่จะถอนอาวุธหนักออกไปอย่างมีนัยสำคัญ เราก็แสดงท่าทีให้เขาเห็นว่าเราก็พร้อมที่จะถอน เพื่อทำให้เกิดช่องในการเจรจา และช่องในการที่จะทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น" นายอนุทิน กล่าวนายอนุทิน กล่าวย้ำว่า ขั้นตอนขณะนี้จะมีการหารือกันในระหว่างกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งจะหารือผ่านช่องทางทวิภาคี และดำเนินการถอนอาวุธออกไปจนเป็นที่พอใจของคู่กรณี อย่างเช่น ประเทศไทย โดยที่คนกลางคือคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน คือตัวแทนผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนที่จะมาเป็นตัวแทน เป็นคนที่ยืนยันว่าคู่กรณีได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว
จากนั้นจะไปต่อในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เพราะทุ่นระเบิดสามารถทำอันตรายกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตรงไหนก็ได้ โดยคนที่จะทำการเก็บกู้ คือฝั่งไทย และมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เป็นผู้สังเกตการณ์คอยดู โดยมีความคาดหวังว่า ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ขัดขวาง เพราะเป็นหนึ่งในข้อตกลงของปฏิญญา
หลังจากนั้น จะมาพูดคุยเรื่องสแกมเมอร์ หาวิธีการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยยืนยันว่า ฝ่ายไทยดำเนินการเต็มที่ ทั้งการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต การสืบหาธุรกรรม เส้นทางการเงิน ดำเนินคดีกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเรารอฝั่งกัมพูชาที่จะให้ข้อมูลมาเพิ่มมากขึ้น เพื่อมาสนธิกำลังกัน และปราบปราม
ส่วนสุดท้าย คือ การบริหารจัดการพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน ขณะนี้เราเน้นไปที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ส่วนของกัมพูชาที่ล้ำมาฝั่งไทยก็มี และส่วนของฝั่งไทยที่ล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน ซึ่งหากจะแฟร์ ก็ต้องแฟร์ทั้งสองฝ่าย และถ้าตกลงได้แล้ว มีของเราล้ำเข้าไป เราก็ต้องกลับมา และรัฐบาลไทยต้องจัดหาที่อยู่ให้กับคนที่ล้ำเข้าไปฝั่งกัมพูชา เช่นเดียวกันกับฝั่งกัมพูชาที่ล้ำเข้ามาในฝั่งไทย
"หากทำเช่นนี้ได้ ความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะลดน้อยลง และถึงจะมาเริ่มฟื้นฟูเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งขณะนี้เราเหลือแค่เลขานุการโท เราได้เรียกทูตกลับมาแล้ว" นายอนุทิน กล่าวนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ไม่ได้อยากจะค่อย ๆ ทำมาก เพราะคือโอกาสที่เราเสียไป ถ้าความเป็นภัยไม่มีแล้ว เราก็จะต้องเร่งดำเนินการในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับไปในจุดที่ควรแก่เหตุ หากตนบอกว่าฟื้นเลย เดี๋ยวจะไม่พอใจกันอีก แต่ยืนยันว่าจะไม่ทำให้เกียรติภูมิของประเทศเสียหายไปอย่างแน่นอน
พร้อมระบุว่า เรื่องของการเปิดด่าน สำหรับตนแล้วจะเป็นเรื่องสุดท้าย เมื่อสถานการณ์ที่เป็นอันตรายหมดไปแล้ว ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ และกลับมาเปิดด่าน ซึ่งจะเป็นจุดสุดท้ายของกระบวนการ และหวังว่าความเป็นปกติสุขจะเกิดขึ้น
ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการเปิดด่านในวันที่ 1 พ.ย.นี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ยังไม่มีการเปิด และไม่ทราบว่าใครไปกำหนดวันนั้น แต่ทั้งนี้ การจะเปิดด่านจะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่ที่ความจริงใจในการเร่งแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ หากกัมพูชาดำเนินการ ไทยจะมีการประเมินโดยเร็ว และตอบสนองในแต่ละเรื่อง
"ด่านยังไม่เปิด เดี๋ยวก็มีคนไปพูดว่าเดี๋ยวก็เปิดด่านอีกแล้ว ไทยมีการยอมนั่น ยอมนี่ ซึ่งกัมพูชาจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขอย่างเป็นรูปธรรมก่อน ถึงจะมีการพิจารณา" นายอนุทิน กล่าว