นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า การบริหารประเทศต้องตั้งอยู่บนหลักคิด และการประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน ไม่ใช่การตอบสนองด้วยอารมณ์ หรือคำพูดที่ขาดการชั่งน้ำหนัก เพราะถ้อยคำของผู้นำ ไม่ได้สะท้อนแค่ความคิดเห็นส่วนตัว แต่สะท้อนท่าทีของประเทศไทยทั้งประเทศต่อประชาคมโลก
เหตุการณ์ล่าสุดทำให้เห็นว่า การสื่อสารที่ขาดความรอบคอบ หรือการใช้ถ้อยคำที่อาจตีความได้หลากหลาย สามารถส่งผลกระทบในระดับการทูตและเศรษฐกิจได้ทันที ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ประเทศไทยควรจะอยู่ในจุดที่มีหลักฐานรองรับ และสามารถยืนยันต่อเวทีนานาชาติว่าเหตุการณ์การละเมิดเริ่มต้นจากฝ่ายกัมพูชา
"การส่งสัญญาณที่คลาดเคลื่อน กลับทำให้ประเทศต้องเผชิญความกดดันจากหลายทิศทาง แม้เรามีพื้นฐานที่น่าจะใช้สร้างความได้เปรียบได้ดีกว่านี้" นายจุลพันธ์ ระบุหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 3 ล้านล้านบาทต่อปี ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติในเอกสารราชการ แต่สะท้อนถึงรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนหลายสิบล้านคน การสื่อสารทางการเมืองที่เชื่อมโยงประเด็นเศรษฐกิจกับความมั่นคง โดยไม่ประเมินผลกระทบให้รอบด้าน จึงอาจทำให้ความร่วมมือสำคัญหลายด้านชะงักงัน รวมถึงมาตรการปราบปรามเครือข่ายคอลเซนเตอร์ ซึ่งกระทบกับประชาชนโดยตรง
ในอดีต ประเทศไทยเคยใช้ทั้งความร่วมมือทวิภาคี พหุภาคี และการทูตเชิงรุก เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกับนานาประเทศบนพื้นฐานของข้อมูลและหลักฐาน ทำให้เราสามารถรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในสถานการณ์ครั้งนี้ ประเทศของเรากลับไม่ได้ใช้กลไกเหล่านั้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ ข้อมูลของไทยถูกสื่อสารออกไปไม่ทันกับการตีความของนานาชาติ และทำให้เราตกอยู่ในสถานะที่ประนีประนอมได้ยากกว่าเดิม
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า วันนี้ ไทยจึงอยู่ในจุดที่ "ถูกกดดันทั้งสองด้าน" ทั้งจากประเทศคู่กรณี และจากประเทศที่เป็นคู่ความร่วมมือสำคัญ ทั้งที่เราสามารถบริหารจัดการให้ดีกว่านี้ได้ หากการประสานงาน การสื่อสาร และการดำเนินกลยุทธ์ทางการทูตถูกวางอย่างเป็นระบบและมีความแม่นยำมากกว่านี้
"ผมจึงอยากชวนให้สังคมไทยร่วมกันพิจารณาอย่างใจเย็นว่า เมื่อผลลัพธ์ของการบริหารครั้งนี้ นำพาให้เราสูญเสียความได้เปรียบและต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก ประเทศไทยควรเดินอย่างไรต่อไป เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนให้ได้มากที่สุด" นายจุลพันธ์ ระบุ- จี้รัฐบาล ใช้ยุทธศาสตร์ "โลกล้อม"
ด้านนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงกรณีข้อพิพาทชายแดน ที่ส่งผลกระทบต่อเวทีโลก ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล ว่า รัฐบาลไทยมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และมีสิทธิในการตอบโต้อย่างมีสัดส่วนเมื่อประเทศถูกรุกล้ำ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา ได้ทำงานกับฝ่ายความมั่นคงในการตอบโต้การรุกล้ำอธิปไตย
พร้อมย้ำว่ากรณีกระแสข่าวการสั่งหยุดยิงในรัฐบาลยกชุดก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องจริง แต่รัฐบาลพรรค พท. มีการรวบรวมพันธมิตรประเทศต่าง ๆ เพื่อเดินเกมบนจุดสมดุลระหว่างอธิปไตยและเศรษฐกิจ จนนานาประเทศทั่วโลกพร้อมรับฟัง และสนับสนุนประเทศไทยเอาโลกมาล้อมคู่กรณี
นายศึกษิษฏ์ กล่าวต่อว่า นี่ถือว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แต่คำพูดที่สับสน และไม่มีวุฒิภาวะของนายกรัฐมนตรี ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และบางคำอาจเป็นเหตุสุ่มเสี่ยงให้เกิดการเสียดินแดน ผลักพันธมิตรออกห่าง ไม่สนใจหาแนวร่วมทางการทูต จนประเทศไทยเสียเปรียบในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี
"ปล่อยให้กัมพูชาติดต่อมาเลเซีย กับสหรัฐอเมริกาได้ก่อนเรา ส่วนฝ่ายเรา นั่งรอให้เขาติดต่อมา ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้เสนอแนวทางตั้งแต่หลังเกิดเหตุให้นายกรัฐมนตรีเร่งพูดคุยกับสหรัฐอเมริกา จีน และมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลักดัน และเป็นสักขีพยานในปฏิญญาสันติภาพ ข้อตกลงหยุดยิง และใช้กรอบกลไกนานาชาติต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลของประเทศเราออกไปก่อน ใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมกดดันกัมพูชาเหมือนที่เราเคยทำ แสดงให้โลกรู้ว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรง แต่เป็นกัมพูชาที่เป็นคนฉีกกติกา" โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุนายศึกษิษฏ์ กล่าวต่อว่า ผลจากการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก นอกจากการเผชิญหน้ากับกัมพูชาแล้ว ยังเจอแรงกดดันจากอเมริกา ทั้งที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้
"พรรคเพื่อไทย จึงตั้งคำถามไปยังประชาชน และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้กระทำ นับเป็นความผิดพลาดเพียงพอที่จะไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปได้หรือไม่" โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว