การเมืองไทยเข้าสู่โหมดนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หลังมีสัญญาณว่า การยุบสภาอาจเกิดขึ้นเร็วกว่ากรอบเดิมช่วงเดือนม.ค. 69 ทำให้บรรดาพรรคการเมืองเร่งขยับเครื่องเต็มสูบ ทั้งการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร รวมทั้งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เตรียมพร้อมรับการเลือกตั้งที่อาจมาเร็วกว่าคาด
ดังนั้นการเมืองในช่วงต่อจากนี้ จึงเปรียบเป็น "ช่วงโหมโรง" ที่ทุกพรรคการเมืองต้องใช้ทุกกลยุทธ์ในการช่วงชิงความได้เปรียบ และสร้างความพร้อมสูงสุดก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
ในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐในมือ เน้นออกนโยบายที่เข้าถึงและตอบโจทย์ประชาชน อย่าง "คนละครึ่ง พลัส" "เที่ยวดีมีคืน" ที่ผลักดันให้เห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม แถมยังให้ความหวังว่าเตรียมจะมีเฟส 2 อีกด้วย และการเร่งจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งจากศึกสงครามและปัญหาจากภัยธรรมชาติ ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งเพื่อมัดใจประชาชนก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
รวมทั้งมีการจัดทัพโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย ควบคู่ไปกับการเปิดตัวบรรดาแกนนำสส. โดยเฉพาะบ้านใหญ่ในหลายจังหวัด เพื่อยกระดับพรรคและหวังเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง
อีกทั้งการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคว้าชัยชนะได้ในหลายพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป
ล่าสุด พรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศแคนดิเดตนายกฯ ออกมาแล้วถึง 3 คน ด้วยกัน คือ ตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรค นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์
หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ที่นำโดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค วางเป้ากวาดที่นั่งสส.ไว้ไม่ต่ำกว่า 70-100 คน เน้นกลยุทธ์ "ดูด สส." ทั้งการรวบรวม "บ้านใหญ่" และอดีต สส.ที่มีฐานเสียงในพื้นที่ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้อย่างล่าสุดได้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัยมาเข้าเสริมทีม ทำให้พรรคกล้าธรรมมีขนาดใหญ่ขึ้น
พรรคกล้าธรรม จึงเป็นอีกพรรคหนึ่งที่น่าจับตาในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะอาจเป็นพรรคตัวแปรสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการจัดตั้งรัฐบาล เพราะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น
ทางพรรคเน้นใช้บทบาทการตรวจสอบมาใช้เป็นกระแสสร้างคะแนนนิยม จะเห็นได้ว่า บรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น นายรังสิมันต์ โรม หรือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เดินหน้าพุ่งเป้าตรวจสอบสแกมเมอร์ จนนำไปสู่การขยายผล และมีการจับกุมบรรดาเจ้าพ่อสแกมเมอร์รายใหญ่ได้หลายรายในขณะนี้ จนมีแคมเปญที่เตรียมใช้เป็นยุทธศาสตร์หาเสียงขึ้นมาว่า "มีเรา ไม่มีเทา"
แม้พรรคจะไม่ได้มีการเปิดตัวผู้สมัครแบบหวือหวาอย่างพรรคการเมืองอื่น ๆ แต่ในระดับพื้นที่ ก็ได้มีการเตรียมคัดเลือกสส.ของพรรค และประกาศความพร้อมตั้งเป้าให้ได้สส.เกิน 250 ที่นั่ง เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับประกาศว่า จะมีการประกาศตัวคณะรัฐมนตรีของพรรคในช่วงการเลือกตั้งด้วย
แม้จะต้องไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แต่เป็นพรรคแรก ๆ ที่ประกาศความพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง ภายใต้กิจกรรม "ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย" ประกาศเดินหน้าเตรียมผู้สมัครให้ครบ 400 เขตเลือกตั้ง แต่ที่เรียกเสียงฮือฮา คือ การเปลี่ยนผู้นำพรรคจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สู่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย คาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธ.ค.นี้ หลังภูมิใจไทยได้เปิดชื่อ 3 แคนดิเดตออกมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากคะแนนนิยมของพรรคที่ลดลง เกิดสถานการณ์ "เลือดไหล" ของสส.ในบางพื้นที่ตัดสินใจย้ายพรรค หรือ เลือกไปเปิดตัวกับพรรคการเมืองใหม่ ในวันเดียวกันกับที่พรรคเพื่อไทยเปิดแถลงข่าวเปิดตัวสส.พรรค จึงเกิดคำถามว่า เป็นช่วงเวลา "ขาลง" ของพรรคเพื่อไทยแล้วหรือไม่
เป็นอีกพรรคที่มีจัดทัพขนานใหญ่ โดยได้ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตหัวหน้าพรรรคและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 กลับมานำทัพ ซึ่งมีภารกิจสำคัญ คือ การเร่งฟื้นฟูความศรัทธาของพรรค เนื่องจากเกิดความขัดแย้งภายในพรรคส่งผลให้พรรคตกต่ำและได้จำนวนสส.น้อยลงชัดเจนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
และดูเหมือนว่า การได้ตัวนายอภิสิทธิ์ และคณะกรรมการบริหารพรรค ที่เรียกได้ว่า ยกเครื่องใหม่ทั้งพรรค ทำให้พรรคได้ภาพเชิงบวกมากขึ้น จนเกิดกระแส "เลือดเก่าไหลกลับ" โดยเฉพาะบรรดาอดีตแกนนำ หรือ อดีตสส.พรรค ที่เคยออกจากพรรคไป ก็ตอบรับจะกลับมาช่วยงานพรรคอีกหลายคน รวมถึงกระแสจากประชาชนที่ยังชื่มชอบในตัวของนายอภิสิทธิ์ ก็ส่งผลดีกับทิศทางของพรรคมากยิ่งขึ้น
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อดีตรมว.พาณิชย์ และอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคประกาศความพร้อมที่จะนำพรรคลงสนามเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 อย่างเป็นทางการ ภายใต้สโลแกน "โอกาสสำหรับคนไทยทุกคน" โดยยืนยันจะเป็นทางเลือกใหม่ที่เน้นการรวมตัวของคนทุกเจนเนอเรชั่น เพื่อผลักดันประเทศไทยให้กลับมามีศักยภาพบนเวทีโลกอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามจากการเคลื่อนไหวของแต่ละพรรคการเมืองในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี้ นายสติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้อันดับไว้ดังนี้
อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่เตรียมตัวมากที่สุด เพราะมีการกิจกรรมบ่อยสุด พูดง่าย ๆ ตีปี๊ปดังสุด ซึ่งการที่พรรคจัดกิจกรรม "ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย" เป็นสิ่งจำเป็น เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน หากไม่มีการจัดกิจกรรมก็จะหายไปจากหน้ากระดานการเมือง แตกต่างจากพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นสปอร์ตไลท์ เพราะเป็นรัฐบาล มีการสื่อสารทุกวันผ่านบทบาทนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีต่าง ๆ
อันดับ 2 คือ พรรคประชาชน แต่เป็นการจัดทัพแบบเรียบ ๆ ไม่ได้เน้นแบบ "บิ๊กอีเวนท์" แต่ดำเนินการแบบวิถีของพรรคตัวเอง ถือเป็นพรรคที่น่ากลัวไปอีกแบบ โดยพรรคเตรียมไว้ 2 ส่วน คือ พรรคเดินหน้าชูนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ไม่เหมือนพรรคอื่นที่อาจยังไม่เปิดตัว หรือ บางพรรคไม่จำเป็นต้องขายตัวแคนดิเดทนายกฯ
"การเตรียมตัวของพรรคส่วนหนึ่ง คือ การเตรียมเท้ง"นายสติธร กล่าวอีกส่วนหนึ่ง คือ อยู่ในกระบวนการเปิดรับผู้สมัคร ซึ่งกระบวนการคัดเลือกภายในพรรคถือว่า ค่อนข้างเข้มข้น มีการประเมินผลงานของสส.ปัจจุบัน และสไตล์การเปิดตัวสส.ของพรรคประชาชนไม่เหมือนกับพรรคอื่น ไม่ใช่แค่มาใส่เสื้อพรรคแล้วเปิดตัว แต่พรรคมีกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มข้น มีการสอบสัมภาษณ์ และมีการไพรมารีโหวต ในแต่ละสาขาของพรรค
อันดับ 3 คือ พรรคประชาธิปัตย์ เพราะพยายามกลับมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์แบบที่เคยเป็น ด้วยการเปิดตัวนายอภิสิทธิ์ และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และต่อไปจะเป็นภาพการเปิดตัวการไหลกลับของบรรดาผู้สมัครสส. ซึ่งเป็นแพทเทิร์นทั่วๆไป
ส่วนพรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรม อาจดูเหมือนไม่เตรียมเลือกตั้งแบบตรง ๆ แต่งานที่ทำในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ก็ถือว่าชัดเจน เป็นการเตรียมความพร้อม สร้างความนิยม ผ่านฐานเครือข่ายที่เตรียมไว้สำหรับการเลือกตั้ง ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันออกไป
"เอาง่ายๆ ถ้าเทียบกัน ระหว่าง กล้าธรรม เพื่อไทย ภูมิใจไทย พรรคที่ไม่เป็นรัฐบาลอย่าง เพื่อไทย เวลาเขาทำอีเวนท์ก็เหมือนตีปี๊บ แต่ถ้าเกิดเป็นพรรครัฐบาล ถ้านิยามเปรียบเทียบกัน มันคือ การเคาะกะลา เอาอำนาจรัฐที่มีไปปฏิบัติในพื้นที่ โชว์พาวเวอร์ให้คนเห็น แล้วคนจะรู้สึกว่า สงสัยวิ่งต้องไปร่วมกับพรรคนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่เอาผู้สมัครมาเปิดตัว มันหมายถึงเครือข่ายฐานเสียงที่จะวิ่งเข้าหา ซึ่งตรงนั้นโหดกว่า บางพรรคไปเปิดตัวผู้สมัคร อดีตนักการเมือง แต่ถ้าเครือข่ายไม่ตามไปด้วยคะแนนก็ไม่มา"นายสติธร กล่าวขณะนี้ทุกพรรคการเมืองต่างทยอยเปิดไพ่ในมือเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ แต่ใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าคงต้องมารอลุ้นกันว่า พรรคน้ำเงิน ส้ม แดง สีไหนจะก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไป