พรรคประชาชน (ปชน.) จัดกิจกรรมรีชาร์จประชาชน ซึ่งมีการเปิดตัวนโยบายด้านต่าง ๆ โดยมีนายเดชรัต สุขกำเนิด ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน, นายบวรศม ลีระพันธ์ แขกรับเชิญจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมให้ข้อมูล
- นโยบายด้านคุณภาพชีวิต
นายเดชรัต สุขกำเนิด ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเวลาพูดเรื่องเมกะโปรเจกต์ คนมักนึกถึงโครงการด้านคมนาคม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง แต่ ปชน.ต้องการเสนอโครงการที่เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต และสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตที่คนไทยสมควรได้รับนานแล้ว คนไทยเจอปัญหาด้านสวัสดิการในทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เรื่องพัฒนาการการศึกษา เด็กโตและเยาวชนก็มีปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและการตกหล่น วัยทำงานก็จะมีปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ส่วนวัยสูงอายุก็มีปัญหาเรื่องสวัสดิการเช่นบำนาญหรือส่วนที่เป็นการดูแลผู้ป่วยในระยะยาว
ขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนการเกิดน้อยกว่าจำนวนการตาย จำนวนประชากรกำลังลดลงเรื่อย ๆ 7 ใน 10 ของเด็กที่เกิดในประเทศไทยอยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อยจนถึงปานกลาง เมื่อดูตัวชี้วัดด้านโภชนาการก็จะพบว่าอัตราเด็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ภาวะเตี้ยแคระแกร็น ภาวะผอมแห้งอยู่ในกลุ่มที่ยากจนมากกว่า เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่ามีโอกาสได้อยู่กับพ่อแม่น้อยลง สิ่งที่เป็นปัญหาตามมาคือสัดส่วนเด็กที่มีทักษะพื้นฐาน เช่น การคำนวณ การอ่านน้อยกว่าก็มักจะอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันการช่วยเหลือของรัฐอย่างเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า 600 บาท/คน/เดือนสำหรับเด็ก 0-6 ปีก็ไม่ทั่วถึง โดยกลุ่มที่จนที่สุด 40% ได้รับเงินอุดหนุนอยู่แค่ประมาณ 65% ยังไม่นับว่ามีกลุ่มที่รวยที่สุด 10% ของประเทศได้รับเงินอุดหนุนในกลุ่มนี้ด้วย
สำหรับเด็กโตก็กำลังเจอปัญหาค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่คือค่าหนังสือ อุปกรณ์ และค่าเดินทาง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงการศึกษาที่สูงขึ้น นำมาสู่การตกหล่นทางการศึกษา 40% ของเด็กในครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถสำเร็จการศึกษาถึงชั้นมัธยม 6 ได้ คุณภาพของโรงเรียนก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำเช่นกัน มีบางโรงเรียนที่มีความสามารถในคะแนนสอบ PISA สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้ว แต่เด็กส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรียนอยู่ในโรงเรียนกลุ่มที่คะแนนการสอบอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาและค่าเฉลี่ยของโลก และกำลังเกิดการส่งต่อความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น เด็กที่เกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนเหลื่อมล้ำอยู่แล้วไปเข้าโรงเรียนที่มีความจำกัดเรื่องทรัพยากร มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและโอกาสทางการศึกษาที่ด้อยกว่า สุดท้ายก็จะเกิดเป็นวงจรของความเหลื่อมล้ำที่ต่อเนื่อง
วัยแรงงานก็เผชิญปัญหาการมีที่อยู่อาศัย ขณะที่ค่าแรงของประเทศไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยในระยะเวลา 12 ปีประมาณ 2% ต่อปี แต่ราคาบ้านและคอนโดกลับเพิ่มขึ้นในอัตรา 3-5% หมายความว่าคนที่อยู่ในวัยทำงานมีโอกาสที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองยากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันวัยผู้สูงอายุก็กำลังเผชิญปัญหาคุณภาพชีวิต โดยเมื่อเปรียบเทียบบำนาญของประเทศไทยกับบำนาญของโลก ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 41 แม้จะทั่วถึงแต่ก็ไม่เพียงพอ และไม่มีกลไกที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนขึ้นในระยะยาว
สำหรับเกษตรกร ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเกษตรกรไทยเหนื่อยมากทั้งเรื่องภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ภัยแล้ง การเข้ามาของสินค้าต่างชาติ ที่ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ มีราคาข้าวที่ต่ำที่สุดในรอบ 18 ปี ราคาลำไยที่ต่ำที่สุดในรอบ 17 ปี สิ่งที่เกษตรกรไทยต้องเผชิญคือความสามารถในการแข่งขันที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ภาระหนี้สินและต้นทุนการผลิตก็เพิ่มมากขึ้น สุดท้ายจึงยังมองไม่เห็นอนาคตว่าภาคเกษตรของไทยจะดีขึ้นได้อย่างไร
คุณภาพชีวิตของคนไทยมีความเหลื่อมล้ำ มีคนตกหล่น อยู่ภายใต้ความเปราะบาง ไม่มีระบบการดูแลที่เป็นตัวช่วย และกำลังเดินหน้าต่อไปแบบไม่ทันโลกมากขึ้นทุกที เหตุผลมีตั้งแต่การจัดสรรงบประมาณที่ไม่เพียงพอในหลายเรื่อง การดำเนินการแบบแยกส่วน การขาดกำลังคนที่จะแก้ไขเรื่องต่าง ๆ จนไม่สามารถรับผิดชอบต่อเป้าหมายได้และทำให้เกิดการตกหล่น
สิ่งที่ ปชน.ต้องการเปลี่ยนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย คือการเสริมอำนาจประชาชนให้มีสิทธิสวัสดิการและมีทางเลือกให้มากที่สุด มีตัวช่วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลหรือให้คำแนะนำ โดยเติมและพัฒนาคนที่จะมาช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง มีระบบการสนับสนุนคืองบประมาณที่มุ่งเป้าหมาย ซึ่งอาจจะทำได้ต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบที่ซับซ้อนและสับสนอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถตอบโจทย์ที่ประชาชนจะมีอำนาจในการใช้สิทธิ์ของตัวเอง จูงใจให้คนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้รับค่าตอบแทน และเชื่อมโยงการให้บริการทั้งหมดที่ขณะนี้แยกส่วนกัน ภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงผ่านแพลตฟอร์มติดตามพัฒนาการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยชุดนโยบาย ปชน.ต้องการนำเสนอในการเลือกตั้งรอบนี้ ประกอบด้วย
1) เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้าให้กับแม่และเด็กตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 6 ปี, กล่องของขวัญแรกเกิดที่ครอบครัวเลือกได้ตามความเหมาะสม, เพิ่มศูนย์ดูแลเด็กเล็ก, พัฒนาคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพิ่มทักษะและค่าตอบแทนของผู้ดูแลเดิมให้ดีขึ้น และเพิ่มแหล่งเรียนรู้และกิจกรรมต่างๆ สำหรับครอบครัว ผ่านการร่วมลงทุนกับท้องถิ่น
2) โรงเรียนเรียนฟรี สนับสนุนโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนที่ฟรี 100% ให้ได้ 80% ของโรงเรียนทั้งหมด โดยได้รับเงินอุดหนุนจากการศึกษาเพิ่มเติม ทั้งค่าอาหารและค่าเล่าเรียน เพื่อให้โรงเรียนไม่ต้องเรียกเก็บเงินค่าบำรุงจากผู้ปกครอง การกำหนดขั้นต่ำให้โรงเรียนเก็บเงินได้ไม่เกินอัตราที่กำหนด จะต้องมีสัดส่วนนักเรียนที่เรียนฟรีไม่ต่ำกว่า 25% ในโรงเรียนของรัฐ การมีคูปองเปิดโลกเพื่อการเรียนรู้และการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
3) การดูแลผู้ป่วยระยะยาว ให้สิทธิ์ที่จะมีผู้ช่วย 8-16 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมีค่าอุปกรณ์ให้ 1,500-2,000 บาทต่อเดือน โดยเลือกส่งคนมาดูแลที่บ้านก็ได้ หรือจะนำไปฝากที่ศูนย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือศูนย์ของเอกชนแล้วจ่ายสมทบเพิ่มก็ได้ พัฒนาผู้ดูแลจากอาสาสมัครให้เป็นมืออาชีพที่มีมาตรฐานและมีความมั่นคง มีค่าตอบแทนระหว่าง 15,000-20,000 บาทต่อเดือน จัดตั้งระบบธนาคารอุปกรณ์ เชื่อมโยงข้อมูลสถานะสุขภาพและการเข้ารับบริการ และพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง
4) การลดการเผาและต้นทุนในภาคเกษตร เปลี่ยนการสนับสนุนแบบให้เปล่าเป็นการสนับสนุนแบบมีเป้าหมาย หากไม่ใช้วิธีการเผาจะได้รับการสนับสนุน 250 บาทต่อไร่ โดยเลือกได้ว่าจะใช้เครื่องจักรทดแทนในการเผา การใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลาย หรือการนำเศษวัสดุต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์หรือจำหน่าย การวิเคราะห์ค่าความอุดมสมบูรณ์ของดินและใช้ปุ๋ยที่ตรงกับความอุดมสมบูรณ์ของดินและความต้องการของพืช ได้รับการสนับสนุน 500 บาท/ไร่ การพักดินเพื่อปลูกพืชอื่นที่ได้ผลดีกว่าจะได้รับเงินสมทบเพิ่มเติม เป็นต้น
5) การแก้ไขปัญหาตลาดสินค้าเกษตร สำหรับพืชหลักเช่นปาล์มมันสำปะหลังอ้อยและข้าว ปรับโครงสร้างราคาสินค้าใหม่ให้เป็นธรรม สำหรับผักและผลไม้ที่ปริมาณไม่แน่นอน ให้มีกองทุนดูดซับผลผลิตส่วนเกิน มีคูปองให้เกษตรกรคงรักษาคุณภาพของผลผลิต ให้เกษตรกรที่ได้รับคูปองเลือกรับบริการในพื้นที่ของตนเอง มีคูปองการแปรรูปสำหรับเกษตรกรที่ต้องการทดลองการแปรรูปที่มีมาตรฐาน GMP และมีการทดสอบตลาด จัดตั้งศูนย์สนับสนุนการบริหารสัญญาเกษตรกรที่มีการซื้อขายบนแพลตฟอร์มและการทำเกษตรแบบพันธะสัญญา สนับสนุนให้เกิดการเปิดตลาดท้องถิ่นสำหรับสถานที่ที่ต้องการอาหาร เช่นโรงพยาบาลหรือโรงเรียน
- นโยบายด้านที่ดินและสิ่งแวดล้อม
นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า ที่ดินคือหนึ่งในเรื่องที่เป็นกับดักของประเทศไทย มีการทับซ้อนและซ้ำซ้อนของหน่วยงานและภารกิจ ที่นำไปสู่การทุจริตและการขาดเป้าหมายที่ยั่งยืนในการปฏิบัติ ปัจจุบันมีหน่วยงานทั้งหมด 9 หน่วยงานที่ทำเรื่องที่ดินอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การออกโฉนดโดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย, ที่ดิน ส.ป.ก. สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ที่ดินนิคมสหกรณ์ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ที่ดินนิคมสร้างตนเอง ที่อยู่ในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ที่ดินราชพัสดุ ภายใต้กระทรวงการคลัง, ที่ดินสาธารณะประโยชน์ โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ป่าอนุรักษ์ โดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ, ป่าสงวน โดยกรมป่าไม้ และป่าชุมชน
ปัจจุบันประเทศไทยมีหน่วยงานที่เป็นผู้ให้อนุญาตเกี่ยวกับที่ดินมากเกินไป สิ่งที่พรรคประชาชนจะทำคือการรวมทั้งหมดให้หน่วยงานเดียวเป็นผู้รับผิดชอบ ลดจำนวนเจ้าหน้าที่ ลดภาระงาน และลดงบประมาณให้เกิดผลสำเร็จมุ่งเป้าไปที่เดียว ทำวันแม็พให้จบภายในรัฐบาลของพรรคประชาชนหลังจากที่ล่าช้ามากว่า 10 ปีแล้ว เพื่อเป็นเครื่องมือในการคืนสิทธิ์ให้กับประชาชน ผ่านการพิสูจน์สิทธิ์ที่ที่ผ่านมามีการอาศัยภาพถ่ายทางอากาศเพียงอย่างเดียว ขยายเกณฑ์การพิสูจน์สิทธิ์ ให้รวมเอาการพิสูจน์สภาพแวดล้อมมาเป็นตัวชี้วัดได้ด้วย
สำหรับที่ดินของรัฐ ที่ดินสาธารณะที่ไม่มีการออกหนังสือสำคัญที่หลวง ต้องจัดการให้จบ ให้เกิดความชัดเจน ส่วนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ต้องจำหน่ายออกจากสารบบ ออกหนังสือรับรองสิทธิ์ให้ชุมชน ขณะเดียวกันที่ดินป่าที่มีสองหน่วยงานดูแลอยู่คือกรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมป่าไม้ ต้องมีการจัดรวมป่าทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน ให้หน่วยงานเดียวเป็นคนดูแลและนำเอากลไกด้านเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจจับเพื่อลดภาระงาน ทำโซนนิ่งสามประเภท ประเภทที่ให้สิทธิแก่ชุมชนในบริเวณนั้น ประเภทที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่เศรษฐกิจ ขยายและพัฒนาสิทธิ์ของชุมชนในการจัดการป่าชุมชนให้มากยิ่งขึ้น ปรับโครงสร้างให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนกำกับดูแลมากยิ่งขึ้น
- นโยบายด้านการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5
ปัจจุบันสภาได้ผ่านกฏหมายอากาศสะอาดไปแล้ว สิ่งที่ ปชน.จะเน้นต่อไปคือการเฝ้าระวังการแจ้งเตือน ให้ประชาชนได้รับการแจ้งเตือนอย่างตรงไปตรงมาและทันทีเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น รวมถึงการควบคุมที่แหล่งกำเนิด เช่น loading permit หรือใบอนุญาตในการปล่อยมลพิษสู่อากาศและน้ำให้ไม่เกินเกณฑ์ที่มีการคำนวณไว้ หากมีการปล่อยเกินเกณฑ์จะต้องถูกปรับจ่ายค่าธรรมเนียม และหากมีความรุนแรงมากก็จะถูกปิดโรงงาน เป็นต้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบและกลุ่มเสี่ยงต้องได้รับการดูแลสุขภาพ สำหรับมลพิษข้ามแดนและการเผาในพื้นที่เกษตร สินค้าที่จะนำเข้ามาในประเทศจะต้องได้รับการตรวจสอบว่ามาจากแหล่งที่มีการเผาหรือไม่ สำหรับพื้นที่ในเขตเมืองจะต้องมีการเปลี่ยนรถเมล์จากระบบสันดาปให้เป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด
- นโยบายด้านการบริหารจัดการขยะ
ปัจจุบัน 99.7% ของหลุมฝังกลบขยะภายในประเทศเป็นหลุมเทกองที่ทำให้เกิดมลพิษ หรือกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ พื้นที่ปนเปื้อนของประเทศไทยในปัจจุบันมีขนาดเกินกว่าครึ่งของจังหวัดสมุทรสงครามไปแล้ว พรรคประชาชนจึงเสนอนโยบายปฏิรูปขยะแห่งชาติ โดยวางไว้สามแนวทางใหญ่คือ
1) การปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันการจัดการขยะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของทั้งหมด 6 กระทรวง นำมารวมอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียว
2) ปิดและฟื้นฟูบ่อขยะที่ไม่ได้มาตรฐาน นำกองทุนสิ่งแวดล้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขและพื้นฟูพื้นที่ ใช้ AI ควบคุมการขออนุญาต การติดตามรถขนขยะว่านำไปสู่ปลายทางในการกำจัดอย่างถูกต้องหรือไม่
3) การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต เพิ่มอัตราการรีไซเคิลเป็นระยะ เริ่มจากการบังคับอาคารขนาดใหญ่ให้มีจุดแยกขยะและ drop-off ก่อนที่จะขยายต่อไปเป็นจนถึงครัวเรือนทั่วไป ให้บรรลุอัตราการรีไซเคิลขยะให้ถึง 35% บังคับให้ผู้ผลิตมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ของตนเอง เริ่มจากซากรถยนต์ แบตเตอรี่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ บรรจุภัณฑ์ น้ำมันเครื่อง และขยะก่อสร้าง ก่อนที่จะขยายสู่ระยะต่อไปคือ เฟอร์นิเจอร์ เศษผ้า ยาเสื่อมสภาพ สารทำความเย็น และยางรถยนต์
- นโยบายด้านสาธารณสุข
นายบวรศม ลีระพันธ์ กล่าวว่า ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมามีการนำเสนอนโยบายด้านสาธารณสุขโดยพรรคการเมืองหลายแนวทาง แต่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างหรือระบบ คนจำนวนมากในสังคมยังเจอกับภาวะที่ต้องรอหมอทั้งวันเพื่อเจอหมอ 2-3 นาที รอคิวยา รอจ่ายเงิน ระบบสาธารณสุขของไทยยังคงทิ้งคนไว้ข้างหลังอีกเยอะ หรือหากไม่พบประสบการณ์นี้ก็ต้องไปดิ้นรนหาเงินเพิ่มเพื่อไปโรงพยาบาลเอกชนหรือซื้อยาเอง
หมอและพยาบาลก็เจอภาระที่ทำให้เหนื่อยมากขึ้น รมว.สาธารณสุขที่ผ่านมาก็ทำแต่นโยบายระยะสั้นสั่งการลงไป ซึ่งไม่ช่วยแก้ปัญหาใด สิทธิประโยชน์ในด้านสุขภาพและสิทธิประโยชน์ที่คาบเกี่ยวกับสุขภาพก็ไม่เท่ากัน ต่อให้การเข้าถึงบริการสุขภาพจะมีเท่ากัน แต่ตราบใดที่คุณภาพยังไม่เท่ากัน ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยก็จะยังทิ้งใครหลายคนไว้ข้างหลังต่อไป
ประเทศไทยเจอปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ คนแก่ที่ต้องดูแลมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คนหนุ่มสาวก็ลดจำนวนลง รวมถึงคนที่จะเป็นหมอและพยาบาลด้วย โรคเยอะขึ้น การรักษาแพงขึ้น ทรัพยากรน้อยลง ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยยังมีการจัดการที่แยกส่วนกันเยอะมาก ไม่มีการประสานกันเลยระหว่าง 4 หน่วยงาน ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ แล้วยังมีบทบาทที่คาบเกี่ยวทับซ้อนกัน เช่น กระทรวงสาธารณสุขควรเป็นผู้กำหนดนโยบายและทิศทางการควบคุมโรค การรักษาโรค การกระจายทรัพยากร
แต่กระทรวงสาธารณสุขเองก็เป็นคนที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลและผู้ให้บริการหลักในส่วนของโรงพยาบาลรัฐ แต่นโยบายกระทรวงสาธารณสุขที่ผ่านมาจะสั่งการเฉพาะโรงพยาบาลในสังกัด ไม่นึกถึงโรงพยาบาลอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ภาระงานจะไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่มากขึ้น และคนจำนวนมากไม่สามารถรับกับระบบบริการภาครัฐได้ จนต้องแสวงหาเอาตัวรอดกันเอง
ความเป็นธรรมและความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่ต้องเสียสละความเป็นธรรมเพื่อข้ออ้างในการหาทรัพยากรเพิ่มมาทำให้เกิดความยั่งยืน เมื่อไหร่ที่มีเงินไม่พอจะมีคนไข้ที่หมอเข้าไม่ถึง รอนานหรือช้ากว่าจะมาถึงหมอ คนไข้กลุ่มนี้จะเป็นโรคที่หนักและรุนแรงขึ้น เมื่อมีทรัพยากรไม่พอคนที่จะเดือดร้อนก็คือคนที่เปราะบางในสังคมเสมอ ยิ่งไม่ยั่งยืนก็จะมีการตัดทรัพยากร และสุดท้ายก็จะนำไปสู่การสร้างความไม่เป็นธรรม เมื่อไหร่ที่เจ็บป่วยมากขึ้นและเข้าไม่ถึงหมอตั้งแต่ต้น ก็ยิ่งทำให้คนป่วยเป็นโรครุนแรงมากขึ้น และสุดท้ายก็ต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นอยู่ดี
- นโยบายเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
ขั้นตอนแรกต้องกำหนดชุดสิทธิประโยชน์ระดับชาติที่เท่าเทียมกันทั้งหมด ทั้งเรื่องประกันสุขภาพและประกันสังคม ซึ่งจะทำไม่ได้เลยถ้าไม่ทำการปฏิรูปโครงสร้างของสถาบันที่เกี่ยวข้อง ต่อมาต้องทำโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข สิ่งที่หมอทะเลาะกันอยู่ตอนนี้คือเถียงว่าเงินที่ลงไปในระบบสุขภาพเพียงพอหรือไม่ แต่ปัญหาคือประเทศไทยตอนนี้ไม่มีทางรู้เลย เพราะไม่มีระบบการวัดคุณภาพของบริการสุขภาพไทย
สุดท้ายคือการลงทุนเพิ่มในระบบสุขภาพ ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้ายังมีแนวคิดว่าเรื่องสุขภาพเป็นภาระค่าใช้จ่ายของรัฐที่ต้องจำกัดให้น้อยที่สุด สุขภาพคนเป็นเรื่องการลงทุนของรัฐเพื่อทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี การหาทรัพยากรให้เพียงพอไม่ใช่แค่เรื่องของการประหยัดเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการทำระบบเทคโนโลยีสุขภาพใหม่ๆ ระบบสุขภาพดิจิทัล หรือกระทั่งเรื่องที่ไม่ใช่เทคโนโลยีแต่สำคัญสำหรับคนไทยมากคือการดูแลระยะยาวในรูปแบบต่าง ๆ
ถ้าหมอไม่รอดคนไข้ก็ไม่รอด ถ้าไม่ปรับระบบหรือคิดเพียงแค่นโยบายระยะสั้นจากสิทธิประโยชน์ทั่วไป แต่เราจะรอดไปด้วยกันถ้าเราปรับระบบให้ ดีให้เห็นทั้งความเป็นธรรมและความยั่งยืน ทั้งหมอและคนไข้จะรอดไปด้วยกัน นโยบายที่ดีจะต้องตอบสนองทั้งสองเรื่อง
- โครงการลงทุนขนาดใหญ่
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า โครงการระยะยาวของ ปชน.ที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ เวลาพูดถึงเมกะโปรเจกต์ คนมักนึกถึงสะพาน ตึก อะไรที่เป็นโครงสร้างใหญ่ แต่สำหรับ ปชน. ประเทศไทยควรจะต้องกลับมาลงทุนกับคุณภาพชีวิตของคน
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา แม้โดยภาพรวมยังเติบโตอยู่ แต่หากดูเป็นทศวรรษ ในทศวรรษ 2530 ประเทศไทยเติบโตโดยเฉลี่ย 7.3% ต่อปี, ทศวรรษ 2540 ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 5.3% ต่อปี, ทศวรรษ 2550 ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 3.2% ต่อปี และทศวรรษ 2560 ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 2.0% ต่อปี แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังแข่งขันกับโลกไม่ได้ สะท้อนปัญหาที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน สภาวะแบบนี้แก้ยากกว่ายามที่มีวิกฤตเศรษฐกิจเฉพาะหน้าเสียอีก
ปัญหาต่อมาคือสังคมสูงวัย หากนำเอาประชากรวัยทำงานเป็นตัวหาร นำเด็กและผู้สูงอายุเป็นตัวตั้ง ปี 2553 มีคนทำงาน 2.03 คนต่อการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ 1 คน, ปี 2563 ลดลงเหลือ 1.86 คน, ปี 2573 ลดลงเหลือ 1.48 คน และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในปี 2583 จะเหลือเพียง 1.26 คน นั่นหมายความว่าในอนาคตภาระจะตกอยู่ที่คนรุ่นต่อไป ที่จะต้องแบกรับการดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุหนักขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานของคนไทยทุกคนต้องเพิ่มขึ้น 38% หรือต้องสร้างผลผลิตให้ได้มากขึ้น 38% ซึ่งไม่ได้ทำให้คนไทยรวยขึ้น แต่รวยเท่าเดิมเพื่อมารองรับกับสังคมสูงวัยในอนาคต
ขณะเดียวกันดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้รัฐ ในปี 2562 รัฐนำรายได้ 7.1% ไปใช้ในการจ่ายดอกเบี้ย ในปี 2572 ต้องใช้รายได้ 13.6% ไปจ่ายดอกเบี้ย หมายความว่าการลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ก่อให้เกิดการเติบโตของรายได้ ทำให้เงินที่ประเทศไทยกู้มาเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นของรายได้ มันสะท้อนว่าประเทศไทยลงทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการตรวจสอบที่ผ่านมาก็บ่งชี้แบบนั้น เช่น ตึกของรัฐที่สร้างขึ้นมาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ แล้วถ้ายังใช้ต่อไปแบบมีประสิทธิภาพดอกเบี้ยก็จะขยับเพิ่มขึ้นไปอีก หมายความว่ารัฐบาลต่อไปจะต้องแบกภาระที่หนักมาก เงินเหลือไปพัฒนาน้อยลงเพราะต้องเอาเงินไปจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น
ต่อไปนี้เงินทุกบาทต้องลงทุนและใช้อย่างชาญฉลาด มีประสิทธิภาพ และสร้างผลการเติบโตในอนาคตให้กับประเทศได้จริง ไม่เช่นนั้นจะแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ประชาชนทุกวันนี้ไม่ชอบการจ่ายภาษี เพราะรู้สึกว่าจ่ายภาษีไปแล้วชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต่อไปที่จะต้องทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐเกิดการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน แก้ปัญหาสังคมได้ สร้างงานที่มีคุณภาพ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ สร้างเทคโนโลยีของคนไทย และทำให้ประเทศไทยพร้อมรับมือสำหรับความท้าทายแห่งอนาคต
ปชน.จึงเสนอการลงทุนครั้งใหญ่ 630,000 ล้านบาทภายในเวลา 8 ปี เป็นการจัดการน้ำเสีย 60,000 ล้านบาท, น้ำประปาดื่มได้ 75,000 ล้านบาท, ขนส่งสาธารณะ 37,000 ล้านบาท, การจัดการขยะ 183,000 ล้านบาท, พัฒนาคุณภาพโรงเรียน 50,000 ล้านบาท, พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล 30,000 ล้านบาท และสร้างโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 192,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้ ตัวเลขอาจจะดูเยอะแต่หากนำไปหารด้วย 8 ปี ออกมาได้ปีหนึ่งไม่ถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ที่จะลงทุนและทำให้กลับมาสะท้อนเป็นคุณภาพชีวิตของคนไทย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ และสร้างงานใหม่ได้
ยกตัวอย่างว่า เช่น เรื่องสมาร์ทกริด โดยภาพใหญ่ประเทศไทยมีเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2050 แผนของ ปชน.คือในปี 2045 ให้มีการเลิกการใช้พลังงานจากถ่านหิน ในปี 2040 ให้มีโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 100% ในปี 2035 ต้องทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดพลังงานให้ได้ แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีส่วนผลิต และส่วนที่เป็นเจ้าของสายส่งแรงสูง และมีผู้ผลิตเอกชนที่ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นเจ้าของสายส่งแรงต่ำ และเป็นคนเก็บเงินกับประชาชน เป็นโมเดลที่มีผู้ซื้อรายเดียว
การปฏิรูประบบพลังงานให้พร้อมรับมือกับอนาคต มีความเป็นธรรม และลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ ต้องดึงส่วนที่เป็นสายส่งเข้ามาอยู่ที่เดียวกัน จัดการฝ่ายผลิตให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และดึงส่วนที่เป็นการดูแลผู้บริโภคมารวมที่เดียวกัน จะเกิดการจัดหมวดหมู่อุตสาหกรรมใหม่ และทำให้เกิดตลาดพลังงานขึ้น ต่อไปใครผลิตและซื้อพลังงานไปเคาะราคากันที่ตลาดหุ้น ประชาชนเลือกได้เหมือนเลือกค่ายมือถือ ทำให้เกิดการแข่งขันโดยรัฐเป็นคนจัดการโครงข่ายการตลาดให้เป็นธรรม ก็จะทำให้ไม่มีการผูกขาดและอาศัยช่องว่างของการเป็นผู้ซื้อรายเดียวมากำหนดราคาไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรมและส่งผ่านให้ประชาชนได้อีก นอกจากนี้ในอนาคตบ้านใครที่มีโซลาร์เซลล์จะสามารถขายกลับมาให้สายส่งได้
การพัฒนากริดของประเทศไทยให้ซื้อขายไฟได้ ในหลายช่วงต่อของกริด จำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์มากมายเพื่อรองรับสำหรับโครงข่ายไฟฟ้าแห่งอนาคต และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีการลงทุนในส่วนนี้ นโยบายของพรรคประชาชนคือการลงทุนโดยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้สร้างสินค้าเหล่านี้แล้วผลิตในประเทศไทยเองได้ สร้างงานที่เมืองไทยและสร้างเทคโนโลยีที่เมืองไทย เช่น การเปลี่ยนให้เป็นสมาร์ทมิเตอร์ทั่วประเทศ การทำให้โครงข่ายไฟฟ้าเป็นระบบแบตเตอรี่ BESS โดยใช้เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมในประเทศไทย
อีกตัวอย่างคือการจัดการขยะในประเทศไทยซึ่งปัจจุบันเป็นแบบเทกอง ถ้าจะทำให้บ่อขยะทั่วประเทศได้มาตรฐานต้องจัดวิธีการทำงานใหม่ ถ้าจะจัดการขยะได้เหมือนต่างประเทศจำเป็นจะต้องสร้างคลัสเตอร์ขยะทั้งหมด 89 คลัสเตอร์ ปัจจุบันโรงขยะที่ได้มาตรฐานที่สุดของประเทศไทยใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศทั้งหมด แต่พรรคประชาชนไม่ต้องการเช่นนั้น ประเทศไทยต้องยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้สามารถผลิตโรงขยะแบบนี้เองได้ โดยเม็ดเงินลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาให้สังคมอย่างเดียว แต่จะสร้างงานให้คนไทยมีงานทำด้วย
ระบบขนส่งสาธารณะก็เช่นกันจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อรายจ่ายของครัวเรือนโดยเฉลี่ยทั้งประเทศ ประชาชนคนไทยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางประมาณ 20% ของค่าใช้จ่ายในครัวเรือนทั้งหมด แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ที่ 13% การลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่ส่งผลดีต่อประชาชนและถูกกว่าการตัดถนนเป็นอย่างมาก พรรคประชาชนมีโอกาสได้ทำแล้วที่ จ.ลำพูน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2569 เป็นต้นไป อบจ. ลำพูนจะมีรถเมล์ไฟฟ้าวิ่งเชื่อมโยงเขตอุตสาหกรรม เขตเมืองเก่า และย่านพาณิชย์ใหม่เข้าหากัน โดยในชั่วโมงปกติจะมีรถ 30 นาทีต่อคัน ชั่วโมงเร่งด่วน 20 นาทีต่อคัน นอกจากนี้จะมีเส้นทางวิ่งระหว่างสนามบินเชียงใหม่มาถึงตัวเมืองลำพูนด้วย
ถ้าประเทศไทยทำระบบขนส่งสาธารณะได้แบบนี้ทั่วประเทศ จะไม่เพียงเกิดทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น แต่จะเกิดอุตสาหกรรมรถเมล์และความต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเต็มไปหมด ตั้งแต่อุตสาหกรรมสถานีชาร์จ ผู้ให้บริการรถเมล์ ผู้ให้บริการข้อมูล ผู้ซ่อมบำรุง ซัพพลายเออร์ที่ส่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ chassis ระบบตัวถัง ไปจนถึงแก้ว เหล็ก พลาสติก อลูมิเนียมที่ต้นน้ำ เป็นอุตสาหกรรมที่เมืองไทย มีบริษัทไทยที่เป็นผู้ผลิตรถเมล์ไฟฟ้า ที่เป็นเจ้าของแบรนด์และเทคโนโลยี แข่งขันกับโลกได้ในประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าประเทศไทยไม่กล้าคิดอย่างทะเยอทะยาน เป้าหมายเหล่านี้จะไม่มีวันไปถึง หลายคนคิดแต่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ตนอยากขอให้โอกาสพรรคประชาชนดู นี่เป็นเวลาของการกล้าทะเยอทะยาน ว่าต่อไปเราจะไม่คืนน้ำเสียสู่ธรรมชาติอีก ในอนาคตน้ำประปาต้องดื่มได้ ผู้คนต้องมีทางเลือกในการเดินทางเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ต้องไม่มีจัดการขยะอย่างปัจจุบันอีก โรงเรียนและโรงพยาบาลต้องพร้อมรับมือสำหรับอนาคต ดูแลผู้คนได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม เครือข่ายไฟฟ้าของไทยต้องพร้อมรับมือภาวะโลกร้อนและทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปหาก ปชน.ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาบริหารจัดการงบประมาณ งบประมาณจะไม่ถูกใช้อย่างสะเปะสะปะไม่มีเป้าหมาย ทำให้เกิดความคงเส้นคงวา และทำให้เป็นจริง เหตุผลที่ต้องใช้ 8 ปีเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ 4 ปีไม่จบแต่ 8 ปีเป็นไปได้ ขอให้ทุกคนร่วมเดินทางไปกับพวกเรา ให้กำลังใจ กล้าคิดอย่างทะเยอทะยานไปด้วยกัน