(เพิ่มเติม) นายกฯส่ง"เฉลิม-เพรียวพันธ์-อดุลย์"จ้อการแก้ปัญหายาเสพติด

ข่าวการเมือง Saturday June 30, 2012 10:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รายการ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ที่ออกอากาศวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นากยรัฐมนตรี ไม่ได้มาจัดรายการด้วยตัวเอง แต่ส่งร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ป.ป.ส.) มาออกรายการเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับความคืบหน้าในการแก้ปัญหายาเสพติดที่กำลังระบาดในเวลานี้

โดยร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า จะไม่มีการฆ่าตัดตอนเรื่องยาเสพติดแต่อย่างใด แต่จะทำตามนโยบายรัฐบาล จากการปฏิบัติการตาม 7 แผน 4 ปรับ เพิ่มจุดสกัด บังคับใช้กฎหมาย และการบำบัดผู้ติด รวมทั้งได้เน้นการสกัดปิดทางเข้าของยาเสพติดตามจังหวัดตะเข็บชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการปูพรมขจัดสารตั้งต้นต่างๆ ที่จะนำมาใช้ผลิตเป็นยาเสพติดอย่างซูโดอีเฟดรีนด้วย จากนั้นเน้นการรณรงค์ป้องกัน ปราบปราม และนำผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่ระบบบำบัดรักษาเพื่อคืนคนดีสู่สังคม

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ประกาศเป็นวาระแห่งภูมิภาค พร้อมพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่าและจีน ล่าสุดรองนายกรัฐมนตรีจากจีน จะเดินทางมาเยือนไทย ซึ่งจะได้ขอความร่วมมือเรื่องยาเสพติดเพิ่มเติมด้วย พร้อมกำลังร่างกฎหมายใหม่ 2 ฉบับ ได้แก่ การให้ผู้ติดที่สมัครใจเข้ารับการบำบัด ไม่ต้องถูกดำเนินคดี และมาตรการเร่งรัดในการตัดสินคดีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยให้การประหารผู้ค้ายา จะลดวันรอประหารจาก 60 วัน เหลือแค่ 15 วัน เพื่อให้การปราบปรามดำเนินการอย่างได้ผลเต็มที่

ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนที่ดำเนินการมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น สามารถจับยาบ้าได้ 57 ล้านเม็ด เฮโรอีน 215 กก. ยาไอซ์ 1,132 กก. กัญชา 11,456 กก. และโคเคน 20 กก. และสามารถชวนผู้เสพเข้าบำบัดได้กว่า 500,000 คน ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะบำบัดเพิ่มอีก 300,000 คน และเมื่อมียอดบำบัดเกิน 700,000 คนก็จะเริ่มใช้มาตรการตรวจสอบไม่ให้มีการกลับมาเสพซ้ำอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ในปีหน้าจะหารือร่วมกับประเทศแหล่งต้นทางการผลิตยาเสพติด เพื่อขอความร่วมมือการบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และจะแจ้งเบาะแสต่อองค์การสหประชาชาติซึ่งคาดว่าทั่วโลกจะมีผู้ติดยาเสพติดกว่า 210 ล้านคน เป็นเหตุให้เสียชีวิตปีละกว่า 200,000 ราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ