ไทย-เกาหลีใต้เซ็น MOU ยกระดับความสัมพันธ์ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์

ข่าวการเมือง Saturday November 10, 2012 13:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอี มยอง บัก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เห็นพ้องต้องกันที่จะยกระดับความสัมพันธ์ให้เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่อจากเห็นว่าเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งจะมีการลงนาม MOU ซึ่งเป็นผลมาจากการยกระดับความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยจะครอบคลุมความร่วมมือใน 4 ด้าน การเมือง เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสังคมวัฒนธรรม โดยมุ่งหวังเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศจาก 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2554 เป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2559

เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ณ ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 9-11พฤศจิกายน 2555 โดยทั้งสองฝ่ายจะได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ของทั้งสองประเทศ และครอบคลุมในทุกมิติอย่างกว้างขวาง ซึ่งในปีหน้าจะครบรอบ 55 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต

โดยการหารือระดับทวิภาคีทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดให้มีการรับรองแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ(ปี 2556- 2560) ระหว่างกันโดยเร็ว เนื่องจากแผนปฏิบัติการดังกล่าวครอบคลุมความร่วมมือในสาขาที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้า และลดอุปสรรคทางการค้าของทั้งสองประเทศให้น้อยที่สุด โดยจะให้มีการรื้อฟื้นการเจรจาทวิภาคีด้านการค้าภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-สาธารณรัฐเกาหลีด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ครอบคลุม เพื่อรองรับการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนในอนาคต เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีศักยภาพที่จะร่วมมือสาขาต่างๆ ได้อีกมาก ซึ่งประธานาธิบดีเห็นด้วยที่จะให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในเบื้องต้น โดยให้ รมว.ต่างประเทศของไทยและรัฐมนตรีการค้าของสาธารณรัฐเกาหลีไปหารือในรายละเอียดต่อไป

สำหรับความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ผู้นำทั้งสองได้ย้ำความสำคัญของความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร และพลังงาน ซึ่งเกาหลีมีความชำนาญและไทยอยากเห็นนักลงทุนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยที่ประธานาธิบดีฯเกาหลีได้ขอรับการสนับสนุนการเปิดธนาคารในประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องว่าการจัดตั้งธนาคารเกาหลีในไทยสามารถอำนวยความสะดวกต่อการลงทุนและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกันต่อไปในเรื่องนี้

ขณะเดียวกัน สาธารณรัฐเกาหลีแสดงความสนใจที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเกาหลีมีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ยังสนใจที่จะนำเข้าผลไม้จากประเทศไทย โดยเฉพาะ มะม่วง มังคุด ลำไย ส้มโอ อีกด้วย

ด้านการท่องเที่ยว ในปีที่ผ่านมา(2554) มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างกันสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 ล้านคน นายกรัฐมนตรีจึงได้เสนอให้รื้อฟื้นการเจรจาทวิภาคีด้านบริการการบิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการบิน ตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และสนับสนุนการค้าการลงทุน สินค้าและบริการ ระหว่างกัน นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังได้ตกลงที่จะสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการคุ้มครองผู้อยู่อาศัยหรือนักท่องเที่ยวสัญชาติไทยและสาธารณรัฐเกาหลีในแต่ละประเทศ

สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย สาธารณรัฐเกาหลีได้แสดงความความสนใจที่จะเข้าร่วมในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ การวางระบบการจัดการน้ำ ตลอดจนรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า การพัฒนาความเชื่อมโยงและการเป็นศูนย์กลางของไทยในอาเซียน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย ว่าจะทำให้ไทยได้เปรียบและเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของเกาหลีใต้ในประเทศไทยมากขึ้นในอนาคต

ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา และจะเร่งรัดให้มีการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยและศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีที่กรุงโซลและที่กรุงเทพฯ เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 55 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ในปีหน้าด้วย

สำหรับความร่วมมือในภูมิภาค ทั้งสองยืนยันที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนการรวมกลุ่มในภูมิภาค ทั้งภายใต้กรอบอาเซียน+3 การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงของอาเซียนต่อการพัฒนาในภูมิภาค นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อความสำเร็จในการร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการจัดฝึกซ้อมบรรเทาภัยพิบัติในกรอบ ARF ครั้งที่ 3 ในปี 2556 ระหว่างไทยและสาธารณรัฐเกาหลีด้วย

สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค นายกรัฐมนตรีได้ย้ำการสนับสนุนที่แน่วแน่ของไทยต่อการดำเนินความพยายามของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสันติภาพ เสถียรภาพ และการปลอดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีได้แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อการแสดงการสนับสนุนดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ