เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างถึงความภาคภูมิใจเมื่อพูดถึงการเมืองไทยในขณะนี้ พบว่า สองในสาม หรือ 66.4% รู้สึกอาย เพราะบ้านเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ขัดแย้งกันเอง ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ความเดือดร้อนของประชาชน และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง ในขณะที่ 33.6% รู้สึกภาคภูมิใจ เพราะยังดีที่ประเทศยังคงปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย สำหรับความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนหรือม็อบในขณะนี้ พบว่า 80.3% คิดว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง และ 19.7% คิดว่าไม่มี
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือ 79.7% ยังมีความหวังต่อการกอบกู้ความเชื่อมั่นศรัทธา ของคนไทยต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย หากนักการเมืองยอมลดทิฐิและหันหน้าเข้าหากัน ในขณะที่ 20.3% คิดว่าสายเกินไปแล้ว ขอให้คนไทยทำใจยอมรับสภาพ และปล่อยให้เป็นไปตาม ธรรมชาติของสังคมประชาธิปไตย
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างถึงการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อเร่งสร้าง ความเชื่อมั่นกลับคืนมาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ พบว่า 71.6% คิดว่ารัฐบาลควรเร่งเข้าถึงประชาชน ทุกชนชั้นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอย่างทั่วถึง และทำงานอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ เพื่อเร่ง สร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ขณะที่ 28.4% คิดว่าควรเร่งสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีระหว่างประเทศ และการไปพบปะผู้นำประเทศอื่นๆ
เมื่อสอบถามถึงบทบาทของพรรคฝ่ายค้าน พบว่า ส่วนใหญ่ 79.2% อยากให้ร่วมกันหาแนวคิดเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ยึดหลักการทำงานด้วย สันติวิธี ไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรง และค้านด้วยเหตุและผล และ 20.8% ระบุควรค้าน การทำงานของรัฐบาลในทุกด้านที่ไม่เห็นด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความคิดเห็นต่อการปฏิรูปนักการเมืองไทยทุกฝ่าย ระหว่างการปฏิรูป การเมืองไทย กับการปฏิรูปพฤติกรรมของนักการเมือง ควรเร่งทำอะไรก่อน พบว่า ส่วนใหญ่ 84.7% คิดว่าควรเร่งปฏิรูปพฤติกรรม และสร้างจิตสำนึกเพื่อส่วนร่วม ในกลุ่มนักการเมืองทุกฝ่ายก่อน เพราะหากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวบุคคล การปฏิรูปในระดับประเทศคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นต้องเริ่มจากฐานให้แข็งแรงก่อน ในขณะที่ 15.3% คิดว่าควรเร่งปฏิรูปการเมืองก่อน เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายเห็นด้วยและร่วมมือกันในที่สุด
เอแบคโพลล์ทำการสำรวจเรื่องดังกล่าว จากประชาชนในกรุงเทพฯ และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,784 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 7—12 ต.ค.56