อย่างไรก็ตาม ศรส.เองได้ปรับกำลังตำรวจให้ทำหน้าที่ดูแลและเฝ้าระวังเหตุร้ายต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยเพิ่มอัตรากำลังอีกถึง 2 พันนาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ กปปส. ห้ามไม่ให้ตำรวจเข้าตรวจตราดูแลในบริเวณการชุมนุม ซึ่งตำรวจจะได้พยายามทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด
ส่วนกรณีที่พนักงานอัยการที่ดำเนินการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยที่ 1 กับพวก โดยให้ข้อบังคับตามประกาศและข้อกำหนดไม่มีผลบังคับต่อโจทก์และประชาชน และห้ามจำเลยกระทำการรวม 9 ข้อนั้น พนักงานอัยการจะได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาพร้อมคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลแพ่งตามขั้นตอนของกฎหมายได้ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อยืนยันถึงอำนาจหน้าที่และดุลยพินิจของฝ่ายบริหารในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยจะได้นำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวงที่แกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอดมาจนถึงเหตุการณ์และความเสียหายที่เป็นปัจจุบัน พร้อมพยานเอกสารหลักฐานที่เป็นภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้ กปปส. มิได้ชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ รวมถึงที่ศาลอาญาได้ออกหมายจับข้อหากบฏต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกด้วย และเพื่อความรอบคอบและสมบูรณ์ดังกล่าว
สำหรับกรณีของนายสาธิต เซกัล สัญชาติอินเดียนั้น ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติว่า นายสาธิตมีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เห็นควรเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 53 ประกอบมาตรา 12(7) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และจะได้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของนายสาธิตฯ ต่อไป ซึ่ง ศรส. ได้รับทราบแล้วมีความเห็นว่า ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ประกอบกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ 1/2557 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบ ฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2557 อำนาจหน้าที่การสั่งเพิกถอนฯ ดังกล่าว ได้โอนมาเป็นของผู้อำนวยการ ศรส.แล้ว ศรส.จึงจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยจะให้ผู้อำนวยการ ศรส. ลงนามสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้นายสาธิตฯ มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายโดยเร็วต่อไป
ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรงขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 185 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 170 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 355 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน 124 คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 43 คน
ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส.โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง 53 แห่งแล้ว
แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้ และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก โดยเฉพาะในเช้าวันนี้ กปปส. ได้ไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ กรมศุลกากร กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และบริษัทเอกชน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี บมจ.เอ็มลิ้ง เอเชีย คอร์ปอเรชั่น(MLINK)