เพื่อไทย ออกแถลงการณ์ต่อกรณีศาลรธน.รับคำร้องปมโยกย้าย"ถวิล เปลี่ยนศรี"

ข่าวการเมือง Friday April 4, 2014 12:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายภูมิธรรม เวชยชัย, นายโภคิน พลกุล กรรมการยุทธศาสตร์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษากฎหมาย และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายโภคิน ระบุว่า ตามที่ได้มีความพยายามที่จะล้มรัฐบาลของบุคคลบางกลุ่มโดยความร่วมมือขององค์กรและภาคส่วนต่างๆ เพื่อมุ่งหวังที่จะตั้งนายกรัฐมนตรีคนนอก และสภาประชาชนตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกลุ่ม กปปส.เรียกร้อง โดยใช้ทั้งพลังมวลชนและกระบวนการทางกฎหมายอย่างสอดรับกันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

โดยล่าสุดมีกลุ่ม ส.ว.ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่านายกฯ กระทำการขัดรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) และ (3) จากกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้รับคำร้องไว้พิจารณา นั้น

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การยื่นคำร้องและการรับคำร้องไว้พิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมีนัยทางการเมืองแอบแฝง เพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในการตั้งนายกฯ คนนอก หรือนายกนอกรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคเห็นว่าไม่อาจกระทำได้ จึงมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้

1.การที่นายกฯ ใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ในฐานะที่นายกฯ เป็นผู้บังบัญชา ไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโดยที่ตนเองไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อันจะถือว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิลฯ นั้น ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาไว้ชัดเจนว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกฯ ตามกฎหมาย เพียงแต่ศาลเห็นว่าการแต่งตั้งเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบเท่านั้น แต่ไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซง

2.ตามคำร้อง นอกจากได้มีคำขอให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว ยังขอให้วินิจฉัยให้ ครม.ทั้งคณะสิ้นสุดลง และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มีการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ตาม มาตรา 172 และ 173 โดยอนุโลมด้วย ซึ่งเห็นได้ว่าคำขอดังกล่าว เป็นคำขอที่นอกรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคำขอเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญฉีกรัฐธรรมนูญ และกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง ไม่ต่างกับการใช้อำนาจตุลาการทำการรัฐประหาร

3.เมื่อนายกฯ และ ครม.พ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 (2) เพราะเหตุมีการยุบสภาฯ แล้ว เพียงแต่รัฐธรรมนูญฯมาตรา 181 กำหนดให้ ครม.ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่เท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงซ้ำอีกได้ เพราะผลก็คือการทำให้ ครม.ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งปัจจุบันก็พ้นไปแล้วเนื่องจากการยุบสภาฯ เทียบกับกรณีที่มีการร้องให้วินิจฉัยความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สิ้นสุดลง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญให้จำหน่ายคดี โดยวินิจฉัยว่าความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ สิ้นสุดลงแล้ว เพราะการยุบสภาฯ

4.แม้จะมีการวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง ย่อมไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีคนอื่นๆ รองนายกฯ ย่อมปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ต่อไปได้ ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 กรณีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แม้ความเป็นนายกฯ ของนายสมัคร จะสิ้นสุดลงเฉพาะตัว แต่รัฐมนตรีที่เหลือย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตาม มาตรา 181

5.การจะนำมาตรา 172 และ 173 มาใช้เพื่อให้มีการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่โดยอนุโลมในขณะนี้นั้น ไม่อาจทำได้ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า นายกฯ ต้องเป็น ส.ส.และมีกระบวนการแต่งตั้งได้ให้ความเห็นชอบโดยที่ประชุม ส.ส.ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การจะได้นายกฯ คนใหม่จึงต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้งและมีสภาผู้แทนราษฎรแล้วเท่านั้น

ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้น พรรคจึงเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ ควรยึดมั่นในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและตัดสินให้เป็นไปด้วยความถูกต้องยุติธรรม ไม่ตัดสินเพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยวิถีทางนอกรัฐธรรมนูญ เพราะหากกระทำการไปโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญและขัดต่อความรู้สึกของประชาชนแล้ว ประชาชนย่อมไม่อาจยอมรับได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ