"ต่อไปนี้จะไปช่วยดูแลศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ถูกกดดันหรือไม่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญโดนกดดันอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มที่คัดค้านคำสั่งศาล เพราะ คปท.ถือเป็นแนวร่วมกับ กปปส. หลังจากนี้ก็จะมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนอีกครั้ง" นายอุทัย กล่าว
นายอุทัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวชัตดาวน์ ทาง คปท.หยุดดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การเคลื่อนไหวนับจากนี้จะเป็นเชิงบวก โดยจะแจ้งระยะเวลา เพื่อเชิญชวนให้ข้าราชการออกมาร่วมชุมนุมกับ คปท. แต่หากเพิกเฉย คปท.จะมีมาตรการกดดันในเชิงบวกต่อไป โดยมีเป้าหมายเดียวกันกับ กปปส. และส่วนตัวเชื่อว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ สถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองจะมีแนวโน้มรุนแรงเกิดขึ้น ทั้ง นปช.ที่ประกาศชัดจะเรียกร้องประชาธิปไตย
ส่วนประเด็นที่ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้อำนวยการ ศอ.รส.จะขอเข้าพื้นที่ชุมนุมของ คปท.เพื่อตรวจค้นอาวุธหลังมีทหารถูกยิงบาดเจ็บนั้น นายอุทัย กล่าวว่า การขอเข้าตรวจค้นจะต้องหารือกับแกนนำ คปท.ก่อน
"อยู่ดีๆ จะดุ่มๆ เข้ามาตรวจเลยก็ไม่ควร เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ และเสี่ยงจะเกิดเหตุซ้ำอีก ตอนนี้ผู้ชุมนุมก็เกิดภาวะกดดัน ยิ่งเมื่อเจอตำรวจก็ไม่ไว้ใจอยู่แล้ว เพราะคิดว่าตำรวจไม่ได้อยู่ข้างผู้ชุมนุม และหลังมีข่าวเมื่อเช้าจะขอเข้าตรวจ ผมก็โทรศัพท์ ประสานไปทาง สตช.กับผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลว่าจะเข้าพื้นที่มาอย่างไร จะทำอย่างไรบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังเป็นแนวทางการเจรจากัน" นายอุทัย กล่าว
นายอุทัย กล่าวว่า อยากถามว่าจริงๆ แล้ว ถ้าตำรวจทำหน้าที่บริเวณรอบพื้นที่การชุมนุม รวมทั้งมีด่านความมั่นคงเต็มพื้นที่ ถ้าทุกวันนี้ตำรวจรับผิดชอบ ผู้ชุมนุมได้ก็จะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่กลับกันการตั้งด่านหนาแน่นเพื่อตรวจตรา แต่กลับปล่อยให้เกิดเหตุร้าย มีเหตุโจมตีพื้นที่การชุมนุม ดังนั้นเมื่อมีด่านไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าเกิดแบบนี้เรื่อยๆ ตำรวจจะใช้มาตรการยังไง