ศอ.รส.สั่งถอดเทปคำปราศรัย"สุเทพ"ดำเนินคดีเป็นกบฎ,ชี้ คปท.ชุมนุมมีอาวุธ

ข่าวการเมือง Tuesday April 8, 2014 14:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รายงานข่าว แจ้งว่า ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) กำชับให้คณะพนักงานสอบสวน ประกอบด้วย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานอัยการ และพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำเอาถ้อยคำและพฤติการณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) กับพวก ที่ได้ร่วมประชุมแล้วมีมติประกาศต่อประชาชนเมื่อวันที่ 5 เม.ย. มาเป็นส่วนหนึ่งของพยานหลักฐานในการดำเนินคดี และเร่งรัดดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส.ทั้ง 59 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันยุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ร่วมกันมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดฐานอื่นๆ ที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน เช่น การขัดขวางการเลือกตั้ง และการบุกรุกสถานที่ราชการ โดยเฉพาะนายสุเทพซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับในข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ และข้อหาอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 215 และ 216 ไว้แล้ว

โดยการปราศรัยดังกล่าวมีใจความสำคัญว่า "คราวนี้จะยึดอำนาจประเทศไทย เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตั้งแต่การประกาศยุบสภา ดังนั้นจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะประกาศความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประชาชน" และ "จากนั้นจะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีของประชาชน และผมจะนำรายชื่อนายกรัฐมนตรี และ ครม.กราบบังคมทูลเกล้าฯ โดยผมจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ ฐานะเป็นร่างทรงของประชาชน จากนั้นจะตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชน และรีบปฏิรูปประเทศตามพิมพ์เขียวที่ได้มีการระดมความคิดไว้ก่อนหน้านี้"

เมื่อได้พิจารณาถ้อยคำดังกล่าวประกอบกับพฤติการณ์อื่นๆ แล้ว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก มีเจตนากระทำการเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และยังเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งในองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113

ทั้งนี้ ศอ.รส.มีความกังวลว่า คำพูดดังกล่าวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก จะสร้างความขัดแย้งมากขึ้นในหมู่ประชาชน เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงและการเผชิญหน้ากันได้ ศอ.รส.จึงขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมาบนหลักความยุติธรรม เพื่อลดความขัดแย้งวุ่นวายที่เกิดขึ้นและทำให้ประเทศชาติกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

สำหรับการชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 5-7 เม.ย.ที่ผ่านมา ศอ.รส.ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ โดยเข้าร่วมการชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โดยไม่มีการเผชิญหน้าหรือเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือนภายใต้การกำกับดูแลของ ศอ.รส. และการควบคุมการปฏิบัติของ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส.ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 3 วัน เพื่อดูแลความเรียบร้อยของการชุมนุม สำหรับการชุมนุมใหญ่ที่จะจัดขึ้นอีกในอนาคตซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ศอ.รส.ก็จะบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือน เพื่อดูแลความเรียบร้อยของการชุมนุมให้อยู่ในกรอบของกฎหมายเช่นเดียวกับการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ศอ.รส.มีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างมาก เพราะแกนนำทั้งสองฝ่ายได้พยายามจะปลุกระดมให้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก และมีลักษณะท้าทายแข่งขันกัน ซึ่งอาจเป็นชนวนเหตุของการปะทะหรือเผชิญหน้า รวมถึงการก่อเหตุร้ายด้วย ซึ่ง ศอ.รส.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและวางแผนป้องกันเหตุร้ายแรงให้ดีที่สุด

อนึ่ง เหตุร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 5 เม.ย.57 บริเวณซอยลิขิต ใกล้เคียงกับการชุมนุมของกลุ่ม คปท.เป็นผลให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นายขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความเรียบร้อยนั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า แนววิถีกระสุนเป็นการยิงมาจากแนวบังเกอร์ของกลุ่ม คปท. จากเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คปท.ซึ่งเป็นเครือข่ายของ กปปส.ได้ใช้ความรุนแรงตลอดเวลาและไม่มีการละเว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย จึงควรแก่การถูกประนามเป็นอย่างยิ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ