สนช.รับหลักการร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา เพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกร

ข่าวการเมือง Thursday November 10, 2016 16:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ 202 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลา 60 วัน

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวคือ กำหนดบทนิยามคำว่า "ระบบเกษตรพันธสัญญา" ให้หมายถึงเฉพาะระบบการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรที่เกิดขึ้นจากสัญญาระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกับบุคคลธรรมดาซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมตั้งแต่ 10 รายขึ้นไป หรือกับองค์กรทางการเกษตรที่มีกฎหมายรองรับ โดยผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตด้วยเท่านั้น รวมทั้งกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาขึ้น โดยมี รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแผนการพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาต่อคณะรัฐมนตรี กำหนดแนวทางให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการให้เป็นไปตามแผน กำหนดรูปแบบของสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา และให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร และเปิดเผยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ และกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรต้องทำเอกสารสำหรับการชี้ชวนให้เกษตรกรทราบเป็นการล่วงหน้าก่อนทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา และต้องส่งให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เก็บไว้เพื่อใช้เป็นเอกสารในการตรวจสอบ โดยเอกสารสำหรับการชี้ชวนดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาและจะต้องมีข้อมูลตามที่กำหนด

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการนำ ระบบเกษตรพันธสัญญามาใช้ในกระบวนการผลิตผลิตผลหรือการบริการทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากมีการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ให้มีความเป็นธรรมตามหลักสากล จะช่วยสร้างความร่วมและพัฒนาในการผลิตผลิตผลหรือการบริการทางการเกษตรอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาในระบบการเกษตรดังกล่าวมีลักษณะผสมผสานระหว่างสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างแรงงาน และสัญญาซื้อขาย ซึ่งมีความซับซ้อนยุ่งยาก ในการวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าและต้นทุน ส่งผลให้คู่สัญญาเป็นเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตร มีความเสี่ยงในการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา สมควรที่รัฐจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการทำสัญญาในระบบการเกษตรดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม รวมทั้งกำหนดกลไกการส่งเสริมและพัฒนาด้วย

ด้านน.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สนช. กล่าวในระหว่างการอภิปรายว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่เพิ่มอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกรให้เท่าเทียมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ โดยจะมีคณะกรรมการของทางรัฐบาล ที่จะดูแลในเรื่องเกี่ยวกับการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม

"สิ่งที่ผมกังวลก็เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ คือ เรื่องการรวมกลุ่มเกษตรที่จะฟ้องร้องต่อบริษัทที่ประกอบกิจการดังกล่าว ว่าควรที่จะให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม มีผลบังคับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อกรณีนี้ และฝากให้ทางกรรมาธิการฯ ช่วยพิจารณาร่างกฎหมายนี้ในทุกแง่มุม เพื่อที่จะให้เป็นกฎหมายที่จะก่อประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย" น.พ.เจตน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ