ที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ลงมติเห็นชอบรายงาน"การปฏิรูปการปฏิบัติงานในรัฐสภา" ของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. ด้วยคะแนน 88 ต่อ 12 งดออกเสียง 48 และส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีรับไปดำเนินการพิจารณาต่อไป
โดยมีสาระสำคัญ อาทิ การเสนอให้ตัดการจัดสรรงบประมาณเดินทางไปดูงานต่างประเทศของ ส.ส.และ ส.ว. เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวโดยใช้ภาษีประชาชน ไม่ใช่การดูงาน, การเสนอไม่ให้แจกคอมพิวเตอร์แบบพกพาแก่สมาชิกรัฐสภา, การกำหนดมาตรฐานจริยธรรมของสมาชิกรัฐสภาให้มีความชัดเจนและมีบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้น, การเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคการเมืองเสียงข้างมาก
รวมถึงการเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.2541 ให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นหน่วยงานทางวิชาการในการช่วยงานรัฐสภาเป็นสำคัญ อีกทั้งให้จัดหลักสูตรทางวิชาการเฉพาะสมาชิกรัฐสภาและตัวแทนพรรคการเมืองเท่านั้น โดยให้ยกเลิกหลักสูตรอื่น ๆ ที่สร้างความเชื่อมโยงกับนักการเมือง ผู้มีอำนาจ องค์กรอิสระ ที่สร้างความเหลื่อมล้ำให้ประชาชนที่ต้องวิ่งเต้นใช้เส้นสายเข้าเรียนหลักสูตรต่าง ๆ
ทั้งนี้ สมาชิก สปท.บางส่วนได้อภิปรายท้วงติงการตัดงบประมาณด้านการดูงานต่างประเทศ โดยเห็นว่าการดูงานต่างประเทศยังมีความจำเป็น และไม่ควรตัดทิ้งทั้งหมด แต่ควรพิจารณาเห็นชอบเป็นกรณีไป ขณะที่สมาชิก สปท.หลายคน ท้วงติงเนื้อหารายงานที่เสนอให้สถาบันพระปกเกล้ายกเลิกการจัดหลักสูตรต่าง ๆ ของสถาบันฯ โดยเห็นว่าสถาบันแห่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการให้บุคคลไปศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ นั้นมีประโยชน์ การจะตัดออกไปเช่นนี้โดยอ้างถึงเรื่องการสร้าง connection จะทำให้สถาบันเสื่อมเสียได้
ด้านนายกษิต ภิรมย์ รองประธาน สปท.ด้านการเมือง ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาเมื่อคณะกรรมาธิการไปดูงาน ก็ไม่ได้ไปแบบจริงจังหรือเพื่อศึกษาหาความรู้อย่างแท้จริง หลายคนรู้แก่ใจว่าจัดเพื่อไปท่องเที่ยว
"ยกตัวอย่าง การไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ของประเทศเขาก็ต้อนรับคณะเดินทางจากไทยอย่างเต็มที่ แต่คณะของไทยก็ไม่ได้ใส่ใจอยากจริงจัง ออกอาการกระสับกระส่าย อยากจะให้จบเร็ว ๆ" นายกษิตกล่าว
ส่วนการจัดหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า นายกษิต ชี้แจงว่าหลายหลักสูตรที่ระบุว่าเป็นการส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยนั้นถามว่าไปเทียบกับประเทศใด ถ้าเป็นประเทศเพื่อนบ้านอย่านำไปเปรียบเทียบ เพราะเป็นการชมตัวเอง โดยเฉพาะการคัดเลือกคนที่เข้าไปเรียนหลักสูตรต่าง ๆ ไม่ได้เข้าไปเรียนจริง แต่เป็นนักล่าประกาศนียบัตรหรือไปหา connection
"บางคนเรียนเกือบทุกหลักสูตร แต่เมื่อไปอบรมก็ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์หรือพัฒนาประชาธิปไตย การเมืองไทยถึงได้เน่าเฟะ ทำให้ต้องมีการปฏิรูปขณะนี้ จึงอยากให้สถาบันพระปกเกล้าพัฒนาตรวจสอบคุณสมบัติว่าจะเข้ามาเรียนเพื่ออะไร อยากให้คนที่มาเรียนสถาบันพระปกเกล้านำความรู้มาพัฒนาส่งเสริมงานของรัฐสภาได้ ไม่ใช่คนเดียวเรียนหลายหลักสูตรเหมือนทุกวันนี้" นายกษิต กล่าว