เพื่อไทย ออกแถลงการณ์ให้คสช.ปลดล็อคเงื่อนไขทั้งหมดทันที เพื่อเปิดให้พรรคการเมืองหาเสียงสร้างความเข้าใจกับปชช.

ข่าวการเมือง Tuesday September 18, 2018 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รายงานข่าว แจ้งว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง "ขอให้ปลดล็อคเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที" เรียกร้องไปยัง คสช. และรัฐบาลให้ "ปลดล็อคเงื่อนไขทางการเมือง" ทั้งหมดทันที มิใช่ "การคลายล็อค" อย่างที่กำลังมีนัยยะซ่อนเร้นให้ดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้สามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความเข้าใจ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดโอกาสและแนวทางการพัฒนาประเทศตามความต้องการของตน และสามารถร่วมกำหนดสร้างแนวนโยบายสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับชีวิตของตนต่อไป

หลังมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาให้พรรคการเมืองดำเนินการแก้ไขข้อบังคับพรรค, ประชุมใหญ่เลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และหาสมาชิกพรรค ก่อนกฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ 90 วัน นอกจากนั้นยังห้ามพรรคการเมืองสื่อสารกับประชาชนที่มีลักษณะเข้าข่าย "การหาเสียง" และควบคุมการใช้สื่ออิเล็คทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่อาจตีความว่า "เข้าข่ายเป็นการหาเสียง"

"พรรคเพื่อไทยได้พิจารณาคำสั่งดังกล่าวแล้วเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจจำกัดบทบาทพรรคการเมือง และจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสร้างปัญหาที่บั่นทอนการพัฒนาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประการ" แถลงการณ์ ระบุ

แถลงการณ์ ระบุว่า การที่รัฐบาลและ คสช.ได้ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 24 ก.พ.62 และอนุญาตให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ในระดับหนึ่งนั้นเป็นการควบคุมให้ใช้อำนาจได้เพียงขั้นพื้นฐาน คือ ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านธุรการภายใน เพื่อการประสานงานในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้อนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมหลักที่สำคัญในการรับฟังและสื่อสารข้อมูลนโยบายกับพี่น้องประชาชนได้ ขณะที่กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองฟากฝ่ายที่สนับสนุน คสช.กลับสามารถเดินสายพบปะประชาชนในลักษณะหาเสียง รับฟังความเห็นในรูปแบบต่างๆ ได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสามารถช่วงชิงโอกาสโดยอาศัย ครม.สัญจร และการทุ่มงบประมาณของรัฐ เพื่อสร้างคะแนนนิยมต่อประชาชนอย่างเต็มที่เพียงฝ่ายเดียว อันเป็นการกระทำซึ่งรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยทั่วไปไม่สามารถกระทำได้ ถือเป็นการแสวงประโยชน์และเอาเปรียบทางการเมืองต่อพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างน่าละอาย

โดยคำสั่งดังกล่าวเป็นเงื่อนไขบังคับพรรคการเมือง อันไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับการสื่อสารที่เป็นจริงของยุคสมัยนี้ กรณีการห้ามใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะเข้าข่ายการหาเสียง ซึ่งเป็นการใช้คำที่ไม่มีขอบเขตชัดเจน ขาดรูปธรรมที่จะทำความเข้าใจ และยังสามารถถูกนำไปตีความได้หลายด้าน การเขียนกฎหมายในลักษณะเช่นนี้มีโอกาสที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่พรรคการเมืองที่คิดต่าง และอาจถูกนำมาตีความเพื่อใช้กลั่นแกล้งคู่แข่งได้โดยง่าย

การห้ามสื่อสารระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อเท็จจริงและมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นกับพรรคการเมือง เพื่อสะท้อนความต้องการนโยบายที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง การควบคุมการทำงานของพรรคการเมืองเช่นนี้ เป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ทำให้กระบวนการสร้างนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ยิ่งถูกจำกัด การสื่อสารทางตรงของพรรคการเมืองและประชาชนในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย เป็นกติกาสำคัญของประชาธิปไตยที่แข็งแรง และบริสุทธิ์ ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลกยึดถือเป็นหลักการสากล

การเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิประชาชนในการรับรู้ รับฟัง และเข้าถึงข้อมูลข้อเท็จจริงในการตัดสินใจเลือกนโยบายที่พอใจ นับว่าเป็นการเลือกตั้งที่บั่นทอนพลังของจิตวิญญาณประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

ขณะที่รัฐบาลพยายาม "ประโคมข่าวและสร้างภาพ" ตนเองว่าเป็นรัฐบาลที่มีความทันสมัย และพยายามก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจะเร่งผลักดันประเทศไทยให้เป็น "ประเทศ 4.0" ที่เทียบเทียมและเท่าทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ในโลกยุคใหม่ การติดต่อสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมโลกที่มีความเจริญและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญเป็นเครื่องชี้วัด หลักประกัน เสรีภาพทางความคิด และการแสดงออกของผู้คน อีกทั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คนในสังคมสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย รวดเร็ว สะดวกและทันท่วงทีและเป็นเครื่องมือที่ทำให้ความรับรู้ของคนในสังคมกว้างขวางและประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องที่ง่ายๆเช่นนี้รัฐบาล ยังไม่เข้าใจแล้วจะนำพาสังคมไทยไปสู่ "สังคม 4.0" ได้อย่างไร นอกจากจะสะท้อนการขาดวิสัยทัศน์ของ "ผู้นำ" แล้วยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของประเทศอีกด้วย

"ประเทศไทยภายใต้การนำของกลุ่มผู้มีอำนาจที่ขาดวิสัยทัศน์เช่นนี้ คงมีความสามารถทำให้ประเทศเป็นได้เพียง "ประเทศ 0.4" เท่านั้นเอง ด้วยคำสั่งที่นำไปสู่การควบคุม จำกัดสิทธิประชาชนและพรรคการเมืองเช่นนี้" แถลงการณ์ ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ