นายกฯ ประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนอาเซียน ย้ำ 5 ยุทธศาสตร์สู่อาเซียนไร้รอยต่อทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน

ข่าวการเมือง Tuesday November 13, 2018 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนอาเซียน (ASEAN Business and Investment Summit :ABIS) ในหัวข้อ Business and Investment in Thailand and ASEAN ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมมารีนา เบย์ แซนด์ ประเทศสิงคโปร์ว่า หัวใจสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจและการลงทุนของอาเซียนก็คือ การก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งเดียวและเชื่อมโยงกันภายในภูมิภาคอย่างไร้รอยต่อโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม และสร้างความรู้สึกเป็นประชาคมเดียวกันมากยิ่งขึ้น ความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนนี้จะเป็นปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้เสาการเมืองและความมั่นคง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมและวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียนให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้

โดยแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ.2025 (Master Plan on ASEAN Connectivity 2025: MPAC 2025) มียุทธศาสตร์หลัก 5 ประการที่เน้นย้ำในเรื่องการสร้างความเชื่อมโยง ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Sustainable Infrastructure) นวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation) การขนส่งแบบไร้ร่อยต่อ (Seamless Logistics) ความเป็นเลิศด้านระเบียบข้อบังคับ (Regulatory Excellence) และการเคลื่อนย้ายบุคลากร (People Mobility) เพื่อที่ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศจะได้นำยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปดำเนินการเพื่อพัฒนาประเทศให้มุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน และนำไปสู่อาเซียนที่ไร้รอยต่อ (Seamless ASEAN) นอกจากนี้ อาเซียนจะต้องเชื่อมโยงภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อให้เกิดพลวัตทางเศรษฐกิจ ซึ่งแนวทางที่ไทยพยายามผลักดัน คือ การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงต่าง ๆ ในภูมิภาคและอนุภูมิภาค ซึ่งรวมถึง ACMECS ด้วย

สำหรับประเทศไทยได้นำแผนแม่บทดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาประเทศเช่นกัน โดยการปฏิรูป 3 ด้านหลักๆ ที่ไทยกำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายและความสะดวกในการทำธุรกิจ การผลักดันประเทศด้วยนวัตกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์

ในเรื่องแรก คือ การปฏิรูปกฎหมายและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ช่วยลดขั้นตอน (Procedure) ลดระยะเวลาในการให้บริการ (Time) และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ (Cost) ได้ทุกด้าน รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการในการประกอบธุรกิจ ให้เป็นไปในทางที่ดียิ่งๆขึ้น จากผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกปี 2019 ประเทศไทยยังอยู่ใน 30 อันดับแรกจาก 190 ประเทศ นับว่าไทยยังคงมีพัฒนาการที่ดี และยังถูกจัดว่าเป็นประเทศที่มีการปฏิรูปด้านกฎหมายสูงเป็นอันดับ 2 ด้วย

เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อในภูมิภาคอาเซียน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ การอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจน การใช้ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเข้าและส่งออก นอกจากนี้ เพื่อให้ความเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) มีความทันสมัยและปลอดภัย รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนมาตรการสำคัญอีกหลายด้าน อาทิ การตรากฎหมายธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Transaction Law) กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) เป็นต้น

เรื่องที่สอง คือ การผลักดันประเทศด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ MSMEs สามารถเติบโตได้ด้วยการค้าออนไลน์ ส่วนรายใหญ่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้า (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนั้นในส่วนของรัฐบาลไทย การบริหารกิจการภาครัฐกำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ยุครัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์โดยสมบูรณ์เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการของภาครัฐได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มการให้บริการดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ ปรับปรุงการให้บริการ รวมถึงการพัฒนาบริการดิจิทัลยุคใหม่

นอกจากเทคโนโลยีดิจิทัลแล้ว ประเทศไทยยังได้สนับสนุนการวางรากฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม อันเป็นที่มาของนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่มีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และสนับสนุนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะประสานกันเป็น "กลไกการเติบโตใหม่" (new engine of growth) ในการขับเคลื่อนประเทศ ประเด็นที่สาม คือ ส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ซึ่งรัฐบาลไทยได้จัดสรรงบประมาณในการพัฒนาการขนส่งและโลจิสติกส์ ในช่วง 5 ปีข้างหน้าประมาณ 9.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกินหนึ่งในสาม (ประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นการลงทุนภายในพื้นที่อีอีซี เพื่อเชื่อมโยงและรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะมีโครงการสำคัญๆ ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการขยายท่าเรือน้ำลึก โครงการสนามบินและเมืองการบิน รวมถึงศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) โดยเชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี และเมื่อโครงการเหล่านี้สำเร็จลุล่วงก็จะทำให้การเชื่อมโยงโลจิสติกส์กับประเทศในภูมิภาคอาเซียนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในโอกาสประเทศไทยได้รับเกียรติอย่างสูงที่จะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2019 ต่อจากประเทศสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นว่าจะดำเนินการสานต่อการเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียนและให้อาเซียนเป็นเป้าหมายที่โดดเด่นในด้านการค้าการลงทุนสำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลก พร้อมทั้งเชิญชวนภาครัฐและเอกชนมาร่วมประสานจุดแข็งและศักยภาพเพื่อมุ่งสู่อาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว อาเซียนที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเข้มแข็ง ยั่งยืนและครอบคลุม และอาเซียนที่จะเป็นพลวัตขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจโลก โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ