เลือกตั้ง'62: นายกฯยันจัดงบประมาณตามความเหมาะสม วอนนักการเมืองอย่าใช้หาเสียงคลุมเครือจนสร้างความเกลียดชัง

ข่าวการเมือง Saturday February 23, 2019 10:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) ยืนยันรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับทุกหน่วยงานตามความเหมาะสม พร้อมขอให้นักการเมือง หรือพรรคการเมืองอย่านำไปหาเสียงอย่างคลุมเครือ จนนำมาซึ่งการสร้างความเกลียดชัง ขณะที่ย้ำการดำเนินการต้องคำนึงถึงความมั่นคง ความมีเสถียรภาพของความสงบเรียบร้อย เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ

"กรณีงบประมาณค่าใช้จ่ายทุกกระทรวง ทั้งฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายอื่น ๆ ให้ดูจากข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นหรือไม่ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปีปัจจุบัน แล้วการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละกระทรวงเพิ่มขึ้นอย่างมีสัดส่วนสัมพันธ์กันอย่างไร ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายความมั่นคง แต่ทุกกระทรวงย่อมกำหนดสัดส่วนในงบประมาณรายรับ-รายจ่าย อย่างชัดเจน รัฐบาลทุกรัฐบาลจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทุกหน่วยงาน ทุกกิจกรรม ทั้งในส่วนของประชาชน และในส่วนของพลเรือน ตำรวจ ทหาร ซึ่งจะเห็นได้ว่างบประมาณที่ลงไปสู่ประชาชนมากกว่าเดิมในทุกมิติ ทั้งระบบงานในปัจจุบันและการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต สร้างรายได้ให้กับประเทศ ไม่อยากให้นักการเมือง พรรคการเมือง นำมาหาเสียง ที่คลุมเครือไม่ชัดเจน จนนำมาซึ่งการสร้างความเกลียดชัง โดยไม่มีหลักการ ไม่เข้าใจกฎหมาย พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือ พ.ร.บ. การเงินการคลังของรัฐ"พลเอก ประยุทธ์ กล่าว

พลเอก ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลนี้ยังไม่ได้ทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น หรือกองทุนเงินสำรองของประเทศลดน้อยลงไปแต่อย่างใด การใช้จ่ายงบประมาณด้านความมั่นคงก็ใช้งบประมาณในส่วนที่ได้รับจัดสรร ใช้ในการซ่อมแซม จัดซื้อ จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้สามารถดำรงสภาพและศักยภาพของกองทัพ ดังนั้น สิ่งที่คนไทยควรระลึกถึง คิดให้ถูกต้อง ก็คือ ความมั่นคง ความมีเสถียรภาพศักยภาพความสงบเรียบร้อย เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ อีกทั้งต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศ อีกด้วย

"สิ่งที่หลายคนพยายามโจมตี ให้ดูว่าความมุ่งหมายอย่างไร คืออะไร วันนี้มีเพียงทหารและสถาบันที่เข้มแข็ง หากจะมีใครมุ่งทำลาย 2 สิ่งนี้อยู่หรือไม่ ช่วยกันคิดดูนะครับ"พลเอก ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2551 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการหดตัวของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก ซึ่งได้เข้ามาเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาคเอกชนไทยชะลอการลงทุน อีกทั้งยังมีปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงถัดมา ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่ดีนัก ภาครัฐจึงได้เข้ามามีบทบาทช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และเร่งผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนตามมา ทั้งนี้ งานศึกษาหลายชิ้น ชี้ว่าการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นได้

อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นความต้องการต่อสินค้าและบริการของประชาชน ช่วยลดต้นทุนของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะด้านการขนส่ง ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ที่เป็นการขยายโครงข่ายคมนาคม ซึ่งจะเอื้อให้เกิดการกระจายตัวของความเจริญไปยังชนบท รวมทั้ง ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีอีกด้วย

รัฐบาลได้เร่งลงทุนในโครงการต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนภาครัฐปรับขึ้นร้อยละ 5 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ล่าสุด ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะเทียบกับ GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ อยู่ที่ร้อยละ 41.8 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่ร้อยละ 60 โดยรัฐบาลนี้ ก็ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการคลัง เพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นทั้งในระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยจะต้องไม่ให้เกิดภาระหนี้ภาครัฐ ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศ อีกทั้งรัฐสามารถที่จะเพิ่มรายได้และใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ