จับตาการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) คนที่ 16 คนที่ชาว กทม.จะฝากความหวังให้เข้ามาแก้สารพัดปัญหาทั้งรถติด ขยะ ฝุ่นพิษ หาบเร่แผงลอย จักรยานยนต์ขับขี่-จอดกีดขวางทางเท้า ปัญหาน้ำท่วมขัง ท่อแตก คนจรจัด สุนัข-แมวจรจัดไร้การควบคุม ไฟฟ้าส่องสว่างไม่ทั่วถึง และอีกจิปาถะที่คนกรุงเทพต้องเผชิญจนกลายเป็นเรื่องชินชาไปแล้ว
แม้ว่าจะยังไม่มีการกำหนดวันในการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอคาดได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปี ความน่าสนใจสำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้อยู่ที่ "ผู้สมัครอิสระ" หลังจากคนดังประกาศตัวจะลงสนามชิงเก้าอี้รอบนี้
*"รสนา"ชูนโยบายเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ โดยคนกรุงเทพฯ เพื่อคนกรุงเทพฯ
"รสนา โตสิตระกูล" อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)" ชิงเปิดตัวเป็นคนแรก โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า"ตอบรับเสียงสนับสนุนของพี่น้องประชาชน ให้ลงสมัครผู้ว่าฯกทม."...กรุงเทพฯใหญ่โต และมีปัญหาสะสมมากมาย จำเป็นที่ต้องระดมความรู้ และปัญญาของสังคมมาช่วยกันแก้ไข ปัญหามากมายอาจเกิดจากความไร้ธรรมาภิบาลในการบริหาร และการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
"ดิฉันเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯให้เป็นบ้านที่ร่มเย็นเป็นสุขสำหรับทุกคน เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกภาคส่วน เพราะสังคมดีไม่มีขาย และไม่มีใครดลบันดาลให้ แต่จะเกิดขึ้นได้ด้วยมือของชาว กทม." และจะเดินสายรับฟังความต้องการของประชาคมทุกภาคส่วนของกรุงเทพฯ เพราะอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการนำเสนอการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ เพื่อนำมาทำเป็นนโยบายเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯโดยคนกรุงเทพฯเพื่อทุกคนในกรุงเทพฯ"น.ส.รสนา ระบุ*"ชัชชาติ" ทิ้งเพื่อไทยลงสนามแบบไร้สังกัด
"ชัชชาติ สิทธิพันธุ์"จัดกิจกรรม "ชัชชาติ ชวนคุย คนกรุงเทพฯ ช่วยคิด" แสดงเจตจำนงและความพร้อมลงเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ในนามอิสระเพราะมีคนจำนวนมากที่เบื่อกับการเมือง ยิ่งสถานการณ์ และสภาพปัจจุบัน คนยิ่งเบื่อหนัก แต่ทุกคนต้องการเห็น กทม. และประเทศไทย ดีขึ้น ดังนั้นจึงพิจารณาว่ามีทางเลือกไหนหรือไม่ ที่สามารถไปด้วยกันได้
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในครั้งนี้ได้พูดคุยกับหัวหน้าพรรคแล้ว และอธิบายเหตุผลไปแล้ว และแม้จะไม่ได้ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย แต่ก็ได้นำปรัชญาของพรรคเพื่อไทยมาปฏิบัติ คือ การลงพื้นที่และการดูแลประชาชน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี จึงต่อยอด อีกทั้งต้องการหาแนวร่วมพัฒนาพื้นที่ กทม. การทำงานในส่วนของ กทม.จำเป็นต้องอาศัยแนวร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเพื่อพัฒนาเมือง
"การทำงานดูแลกรุงเทพมหานครที่ต้องประสานงานจำนวน ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งการลงอิสระจะได้แนวร่วมมากขึ้น และจะมีความคล่องตัวมากกว่า"ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ 7 เดือนที่ผ่านมา พบนโยบายที่ดีซึ่งซ่อนอยู่ แต่ไปไม่ถึงนโยบายที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นการพัฒนา กทม. หัวใจสำคัญคือประชาชน
*"อุเทน" ขอ 500 วัน ทำไม่ได้ลาออกทันที
"อุเทน ชาติภิญโญ" อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย แถลงเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ พร้อมทำงานแก้ไขปัญหาทันที หากใน 500 วันทำไม่ได้จะลาออก ชูนโยบายกรุงเทพเมืองน่าอยู่ด้วย 3 ประเด็นหลัก คือ มุ่งแก้ปัญหารถติด น้ำท่วมซ้ำซากด้วยความเด็ดขาดของตน และด้านการศึกษา
ในส่วนของการแก้ปัญหารถติด จะปรับระบบสัญญาณไฟจราจรใหม่ให้เหมือนที่ญี่ปุ่น คือ เปิดไฟสัญญาณจราจรเหมือนกันตลอดทั้งเส้นถนน และต้องมีที่จอดรถสาธารณะในทุกอาคารหรือคอนโดมิเนียม ไม่ควรมีป้ายรถประจำทางหรือจุดกลับรถถี่มากเกินไป ไม่เช่นนั้นรถก็จะชะลอตัว ส่วนปัญหารถจักรยานยนต์ขับขี่บนทางเท้า จะใช้เทศบัญญัติการย้ายถิ่นฐานเข้ามาควบคุม หากเทศกิจพบผู้กระทำผิดไม่ได้มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ต้องย้ายที่อยู่กลับไปภูมิลำเนา ให้เหลือแต่คนเคารพกฏภายในกรุงเทพฯ สำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า ต้องทำให้ค่าเดินทางถูกลงกว่าเดิม
สำหรับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากเกิดจากการที่กรุงเทพฯ สร้างเขื่อนล้อมเมือง ตะแกรงระบายน้ำตันทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ส่วนปัญหาการจราจรติดขัด ตนมีทีมวิศวกรพร้อมออกแบบจุดจอดรถ และเส้นทางคมนาคมในกรุงเทพฯ
ส่วนปัญหาการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จะยึดรูปแบบโรงเรียนอินเตอร์มาปรับใช้
ขณะที่บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ยังนิ่งเงียบ อุบไต๋ คาดว่ายังต้องใช้เวลาและขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งอาจจะต้องผ่านที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค รอมติพรรคคัดเลือกความเหมาะสมของตัวบุคคลที่ต้องมีความพร้อมเข้ามาทำงานแก้ปัญหาให้ชาว กทม. ที่มีสารพัดปัญหา
จากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่มีความเห็นต่อนักการเมืองสมัยนี้ว่า "นักการเมืองน่าเบื่อ ไม่มีจริยธรรม ยิ่งถ้าสังกัดพรรคการเมืองไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง จะทำอะไรก็ต้องรอพรรค บางเรื่องตัวบุคคลคิดอย่างนึง พรรคคิดอีกอย่างนึงสุดท้ายก็ต้องเอาตามความเห็นพรรค ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง พวกมากลากไป
หากทำงานการเมืองแบบอิสระน่าจะตัดสินใจได้ดีและรวดเร็วกว่าการทำงานภายใต้สังกัดพรรคการเมือ...แต่ถ้าสังกัดพรรคการเมืองก็อยากได้คนที่อยู่คนละฝ่ายกับรัฐบาลจะได้ทำงานเต็มที่ จะทำอะไรไม่ต้องเกรงใจรัฐบาล
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง สเปค ของผู้ว่าฯ กทม. ที่คนกรุงต้องการ เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ตั้งใจจะเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองใด พบว่า ส่วนใหญ่ 64.0% ยังไม่มีใครในใจ ในขณะที่ 36.0% ระบุมีพรรคการเมืองที่จะเลือกในใจแล้ว
ส่วนลักษณะ หรือ สเปค ของผู้ว่าฯ กทม.ที่ต้องการ พบว่าส่วนใหญ่ถึง 83.8% ระบุซื่อสัตย์สุจริตไม่พัวพันทุจริตคอรัปชั่น รองลงมา 74.3% ระบุแก้ปัญหาเก่ง รวดเร็ว ไม่ขายฝัน พูดจริงทำจริง มีผลงาน และ 24.5% ระบุอื่นๆ เช่น ของเป็นคนรุ่นใหม่ การศึกษาดี เสียสละ นโยบายจับต้องได้ น่าเชื่อถือ เป็นที่รู้จัก เป็นต้น
ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการให้แก้ไข พบว่า อันดับ 1 หรือ 79.6% ระบุปัญหาจราจร รถติด ความปลอดภัยทางถนน อุบัติเหตุ คนขาดวินัยจราจร รองลงมา 56.9% เรื่องค่าครองชีพ ของแพง ทำมาหากินไม่ได้, 55.1% ระบุน้ำท่วมขัง, 51.1% ระบุ มลพิษ ขยะเน่าเหม็น สิ่งแวดล้อม, 50.4% ระบุ อาชญากรรม ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน, 38.9% ระบุ ปัญหาการให้บริการ รถโดยสาร ขนส่งมวลชน, 27.7% ระบุถูกเรียกรับผลประโยชน์ ทุจริตคอรัปชั่น และ 28.6% ระบุอื่น ๆ เช่น การศึกษา ยาเสพติด และไฟส่องสว่าง เป็นต้น
ด้านศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พบว่า ส่วนใหญ่อยากได้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ที่มีคุณสมบัติมีการปฏิบัติตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ รองลงมาคือมีความซื่อสัตย์โปร่งใส, มีการปฏิบัติงานให้เห็นเป็นรูปธรรม, มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีความขยันทุ่มเทในการทำงานตามลำดับ
ในส่วนของนโยบายที่อยากให้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ให้ความสำคัญ อันดับที่หนึ่ง คือ ด้านเศรษฐกิจและการส่งเสริมอาชีพ รองลงมาคือด้านการศึกษาและคุณภาพชีวิต, ด้านความสะอาดและสิ่งแวดล้อม, ด้านการจราจรและขนส่งมวลชน, ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตาลำดับ
นโยบายที่อยากให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนมากที่สุด อันดับที่หนึ่ง 28.8% คือ ปัญหาการคอร์รัปชัน อันดับที่สอง 23.4% คือ ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อันดับที่สาม 9.0% คือ ปัญหาการจัดการน้ำเสีย อันดับที่สี่ 8.6% คือ ปัญหาสถานบริการฝ่าฝืนกฎหมาย และอันดับที่ห้า 8.0% คือ ปัญหาการกีดขวางทางเท้า (ฟุตบาธ)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าบุคคลที่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.มากที่สุด อันดับที่หนึ่ง คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 21.3% อันดับที่สอง 20.8% คือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับที่สาม 16.3% คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อันดับที่สี่ 14.8% คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันดับที่ห้า 8.7% คือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจในการเลือกผู้ว่าฯกทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้มากที่สุด คือ ตัวผู้สมัคร 62.5% รองลงมาคือพรรคการเมืองที่สังกัด 37.5%
จะเห็นได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อตัวบุคคลมากกว่าพรรคการเมือง นี่คือที่มาที่ทำให้มีบุคคลลงสมัครในนามอิสระมากกว่าการสังกัดพรรคการเมือง
สุดท้าย..ใครจะมาแรงแซงทางโค้งคว้าเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ไปครอง คงต้องจับตารอดูการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่คาดว่าจะมีความชัดเจนออกมาเร็วๆนี้ ทั้งผู้สมัครในนามอิสระ ผู้สมัครสังกัดพรรคการเมือง รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ