ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัด 8 ส.ค.สั่งคดีด้อมส้มฟ้องเอาผิด กกต.กลั่นแกล้ง "พิธา"

ข่าวการเมือง Tuesday July 18, 2023 19:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำสั่งให้รับคดีที่นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ กกต.อีก 6 คน ฐานความผิดร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ประกาศผลการเลือกตั้ง และส่งเรื่องนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิธา โดยนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 8 ส.ค.66

โจทก์ระบุว่าเป็นหนึ่งในคนไทยที่ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ เขต 8 มินบุรี กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกับประซาชนชาวไทยผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศที่เลือกผู้สมัครและ ก.ก.รวมมากกว่า 14 ล้านคน เมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 โดยคาดหวังว่าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และได้นายพิธามีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทยคนต่อไป โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้

ขณะที่นายอิทธิพร จำเลยที่ 1 เป็นประธาน กกต. ส่วนจำเลยที่ 2-6 เป็น กกต. และจำเลยที่ 7 เป็นเลขาธิการ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง ระหว่างวันที่ 31 ม.ค.66-13 ก.ค.66 ได้กระทำผิดเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำการในฐานะเจ้าหนักงานของรัฐ โดยทุจริต เจตนา ร่วมกันออกประกาศ กกต.กำหนดวันรับสมัคร สส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ ตลอดจนรายละเอียดตางๆ ที่เกี่ยวข้องโดยทุจริต เจตนาร่วมกันแบ่งเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ออกแบบบัตรเลือกตั้งทั้งการเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อให้แตกต่างจากการเลือกตั้งหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินกว่าจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่าเจ็ดล้านใบ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ หรือสับสนวุ่นวาย รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่างๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะการเลือกตั้งและได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2

นอกจากนั้น ประธาน กกต.และกกต.มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธา หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนว่าผู้ใดไม่มีคุณสมบัติและ/หรือขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่กลับไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ ปล่อยล่วงเลยมาจนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหนึ่ง มายื่นคำร้องกล่าวหาว่านายพิธาถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,100 หุ้นในจำนวนหลายล้านหุ้น จึงอาจหรือขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส. และต่อมามีผู้ยื่นข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่ กกต.ไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยโดยพลัน ไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามกฎหมาย ทั้ง ๆที่กรณีนี้คล้ายกับกรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัคร สส.นครนายก ที่ถูก กกต.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง แต่ศาลฎีกามีคำสั่งให้คืนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งให้ในภายหลังจากที่ถูกกล่าวหาว่าถือหุ้นสื่อเพียงประมาณ 200 หุ้นในจำนวนหลายล้านหุ้น การกระทำของ กกต.ที่ไม่รีบดำเนินการสืบสวน ไต่สวน วินิจฉัย จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิซอบหรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์หรือนายพิธาได้รับความเสียหาย

อีกทั้ง กกต.ยังมีพฤติการณ์ที่น่าเคลือบแคลงสงสัยหลายประการ เช่น ประกาศผลการเลือกตั้งได้ช้ากว่าที่ควร ปฏิเสธไม่รับความช่วยเหลือจากหน่วยหรือองค์กรเอกชน และไม่เลือกใช้การสื่อสารที่ทันยุคทันสมัย โดยผลการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 14 พ.ค.66 ปรากฎว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 14 ล้านคนรวมทั้งโจทก์ด้วยเลือกพรรคก้าวไกลจนได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่งคือจำนวน 151 คน แต่ กกต.เจตนากลั่นแกล้งนายพิธาด้วยการลงมติส่งเรื่องที่ถูกร้องเรียนว่าถือหุ้นสื่อไอทีวีต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยให้ละเอียดรอบคอบก่อนวันโหวตเลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายพิธา และพรรคก้าวไกลต่อสมาชิกรัฐสภา ทั้งที่นายพิธาเป็น ส.ส.มาหนึ่งสมัยหรือสี่ปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องคัดค้านแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ