นายเจน นำชัยศิริ รองประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันพลังงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะมีฝ่ายใดบริหารประเทศ และจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองหรือไม่ สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการ คือการสร้างความสงบในประเทศ เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการสร้างความเชื่อมั่น
ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้นั้น ภาคเอกชนได้ปรับตัวและสามารถรับมือได้บ้างแล้วว่าปี 52 เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดน้อยลง และผู้ประกอบการต้องหันไปส่งออกในภูมิภาคเอเชียแทน
ด้านนายสมศักดิ์ ศรีสุภรวาณีย์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทอผ้าไทย เชื่อว่า หากมีการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาลจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากประชาชนกังวลกับปัญหาการเมืองมาเป็นเวลาหลายเดือน โดยรัฐบาลชุดใหม่จะต้องเป็นบุคคลที่ยอมรับจากต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุดในขณะนี้ เทียบได้เท่ากับนายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
นางกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ อุปนายกและประธานสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า นโยบายใหม่ที่รัฐบาลจะเข้ามาดำเนินการ คือ เร่งสร้างพื้นฐานด้านเกษตรกรรม เพราะขณะนี้เกษตรกรได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำลง ขณะที่คุณสมบัตินายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องสามารถสร้างความมั่นใจให้กับต่างประเทศได้ และเร่งแก้ปัญหาของภาคอุตสาหกรรมและสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองให้มีความแข็งแกร่ง รวมถึงทำงานด้วยความโปร่งใส่
สำหรับอุตสาหกรรมอาหารในปีนี้คาดว่าจะมีการส่งออกคิดเป็นมูลค่า 800,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน เพราะยังมีคำสั่งซื้อค้างอยู่ ส่วนในปี 52 คาดว่ายอดส่งออกจะปรับตัวลดลงประมาณ 5% เหลือมูลค่า 760,000 ล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากราคาข้าวที่ปรับตัวลดลง