นปช.นัด 24 ก.พ.ชุมนุมที่สนามหลวงก่อนไปทวงถามข้อเรียกร้องที่ทำเนียบฯ

ข่าวการเมือง Thursday February 19, 2009 18:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) อ้างเหตุรัฐบาลเมิน 4 ข้อเรียกร้อง นัดรวมพลชุมนุมที่บริเวณท้องสนามหลวง ในวันที่ 24 ก.พ.นี้ แล้วเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถาม

"ข้อเรียกร้องที่กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปปิดหมายที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลปฏิบัติตาม แต่กลับถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และคนในรัฐบาลปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เราจึงมีมตินัดชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเวลา 09.00 น.ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้" นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่ม นปช.กล่าว

นายวีระ กล่าวว่า หลังจากรวมพลแล้วจะเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามข้อเรียกร้องดังกล่าว และจะมีการปราศรัยตามสมควรด้วยตามแนวทางสันติอหิงสา ส่วนจะชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ จะเคลื่อนขบวนไปปิดสถานที่อื่นอีกหรือไม่นั้นแกนนำฯ จะมีการประเมินกันอีกครั้ง

"การชุมนุมครั้งนี้ ขอแรงกลุ่มคนเสื้อแดงมากันให้มากเป็นพิเศษ เพราะหากมาน้อยรัฐบาลจะประเมินว่าเราเป็นของปลอม ไม่ใช่มวลชนแท้จริง แต่เป็นมวลชนหยิบมือเดียว" นายวีระ กล่าว

นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีสั่งย้ายที่ประชุม ครม.ไปยัง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นั้นสะท้อนให้เห็นความวิตกจริตเกินเหตุ เพราะกลุ่มเสื้อแดงแค่ไปชุมชนหน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น ครม.สามารถประชุมได้ และยังไม่มีแนวคิดที่จะตามไปชุมนุมที่ อ.หัวหิน แต่จะปักหลักยืดเยื้อที่ทำเนียบรัฐบาลต่อไป ส่วนจะยาวนานแค่ไหนนั้นอยู่ที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด

กรณีที่รัฐบาลไม่เปิดเผยผลสอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.นั้นแสดงให้เห็นว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา เพราะผลสอบไม่ตรงกับใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อน่าสงสัยหลายประการ เช่น หากผลสอบออกมาสู่สาธารณะจะทำให้ผลสอบในขั้นตอนของ ป.ป.ช.จะมีปัญหา เพราะยืมมือ ป.ป.ช.ในการจัดการกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะทำการเปลี่ยนบุคคล โดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงมือ

ประเด็นต่อมา ถ้าผลสอบนั้นไม่เป็นคุณต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ยิ่งจะสร้างความเสียหายให้กับรัฐบาลชุดนี้ เพราะการลาออกของ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีเจตนาที่จะแทรกแซงกระบวนการสอบสวนเรื่องนี้หรือไม่ และผลสอบที่นายสุเทพต้องการจะแถลงไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน นายสุเทพต้องอธิบายต่อสาธารณะเช่นเดียวกันว่าที่ พล.ต.อ.จงรัก ลาออกนั้น และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลนายหนึ่ง ระบุว่า มีการเมืองเข้าไปแทรกในการทำคดีนั้น นายสุเทพไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่ต้องตอบให้ได้

"การปกปิดผลสอบที่ว่านี้ อดคิดไม่ได้ว่า เป็นการอุ้มพันธมิตรฯ หรือไม่ เพราะการออก พ.ร.บ.คุ้มครองสุวรรณภูมิ ที่ผ่านมติ ครม.ไปแล้ว จากโทษประหารชีวิตเหลือโทษปรับ 500 บาท ก็ทำให้ประชาชนเจ็บช้ำเกินพอแล้ว" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมี คมช.หลงยุคบางคนที่ทำเหมือนเชื้อชั่วไม่ยอมตาย ทำตัวเพ่นพ่าน เป็นกระบอกเสียงให้เผด็จการ คือ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีใครจะไปฆ่า เขาต้องการให้ตายทั้งเป็นนั้น กรณีนี้ พล.อ.สมเจตน์ ไม่รู้เลยเหรอว่า คนที่ตายทั้งเป็นจริงๆ นั้นคือคนไทยทั้ง 63 ล้านคน ที่ได้รับผลจากการยึดอำนาจ 19 ก.ย.49 และพล.อ.สมเจตน์ ควรไปตรวจสอบวงศ์วานว่านเครือของตัวเองว่า ได้ทำความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างไร

"ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหาร 19 กันยายน เขาก็จะยิ่งจดจำ พล.อ.สมเจตน์ มากขึ้น หรือถ้าวันนี้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเมื่อไหร่ พล.อ.สมเจตน์ จะต้องถูกดำเนินคดีข้อหากบฏคือโทษประหารชีวิต ไม่ใช่ออกมาเพ่นพ่านเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ บุคคลอื่น" นายจตุพร กล่าว

นายจักรภพ เพ็ญแข กล่าวว่า แม้พี่น้องประชาชนบางส่วนอยากให้โอกาสรัฐบาลนี้ได้ทำงานก่อน แต่บางคนคิดว่าหากให้ทำงานไปปัญหาจะยิ่งหนักขึ้น ซึ่งขณะนี้ประชาชนยังไม่ทราบว่ากระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม สมคบคิดกัน เพราะมีการละเมิดสิทธิในพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างไทยกัมพูชา มีการตัดถนนความยาว 250 เมตร ลึกเข้ามายังฝั่งไทย แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงกลับปล่อยให้มีการก่อสร้างในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ทั้งที่เรื่องนี้กองกำลังสุรนารีได้รายงานมายังหน่วยเหนือคือกระทรวงกลาโหมเพื่อทำการประท้วงแล้ว แต่กระทรวงกลาโหมยังเพิกเฉย

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ กรมแผนที่ทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังถูกผู้ใหญ่บังคับในกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมให้แจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมาธิการทหารและคณะกรรมาธิการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎรว่าการตัดถนนไม่มีการล้ำสิทธิมายังฝั่งไทย และยังกำชับนายวศิน ธีระเวชฌาน รองปลัดกระทรวงต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการร่วมชายแดนไทยกัมพูชา ให้ยอมอ่อนข้อในกรณีนี้ต่อที่ประชุมซึ่งกำลังจะมีขึ้น การสร้างถนนในพื้นที่อ้างสิทธิ์เป็นการขัดต่อบันทึกร่วม 2 ประเทศ เอ็มโอยู ข้อ 5 ที่ห้ามไม่ให้มีสิ่งก่อสร้างในพื้นที่อ้างสิทธิ์

"ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้กล่าวหาคนอื่นได้อย่างสนุกปากมากว่าขายชาติแต่ย้อนดูพฤติกรรมตัวเอง กลับโคมลอยกล่าวหาคนอื่น แต่กรณี้นี้มีการตัดถนนเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิจะว่าอย่างไร และกลไกลอำนาจเก่าจะปกป้องพฤติกรรมอย่างนี้หรือ" นายจักรภพ กล่าว

นายจักรภพ กล่าวว่า รัฐบาลนี้มีรัฐมนตรีคนหนึ่งที่ไปจาบจ้วงผู้นำเพื่อนบ้านและเมื่อเดินทางไปพบก็บอกว่าผู้นำโอภาปราศัยดีมาก ทั้งที่เป็นมารยาททางการทูต และหลังจากนั้นเกิดกระบวนการจงใจที่จะทำให้เกิดความราบรื่นทางความสัมพันธ์ โดยการเพิกเฉยจากการตัดถนนในพื้นที่อ้างสิทธิ์

"การที่คนในรัฐบาลพูดว่ารักชาติมากกว่าใคร แต่กำลังร่วมกันขายชาติเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันและยังอาจเกี่ยวพันไปยังพื้นที่ JDA ทางทะเลที่มีทรัพยาการพลังงานมหาศาล และอาจจำมาสู่ประเด็นการเจรจาในการประชุมครั้งนี้ด้วย" นายจักรภพ กล่าว

นายจักรภพ กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์ระหว่างประเทศคือรัฐบาลนี้จงใจปกปิดความจริงที่ประเทศชาติเสื่อมเสีย ตั้งแต่กรณีโรฮิงญาที่รัฐบาลจงใจทำให้เรื่องเงียบ แต่ขณะนี้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) กำลังจับตาสอบสวนประเทศไทยอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งไทยไม่เคยเสื่อมเสียเรื่องอย่างนี้ แม้เราจะยากดีมีจนเมื่อมีชาวลาว พม่า กัมพูชา อพยพเข้ามาเราก็ให้ความช่วยเหลือตลอด แต่กรณีโรฮิงญาทหารเรือของไทยกำลังจะฆ่าเขาทางอ้อมโดยการลากเรือไปกลางทะเลแล้วถอดเครื่องยนต์ออกปล่อยให้ชาวโรฮิงญากว่า 500คนตายกลางทะเล

ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่มีอะไรพอหลักฐานต่างๆ เริ่มชัดเจนมีการสั่งการนายทหารชั้นผู้น้อย ทั้งนี้หากผลสอบของยูเอ็นเอชซีอาร์ออกมาอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศ เพราะผลสอบจะถูกส่งไปยังแต่ละประเทศพิจารณาว่าจะคบกับไทยอย่างไร และที่เป็นห่วงหากส่งไปยังประเทศแถบยุโรปอาจจะลดระดับความสัมพันธ์กับไทยก็เป็นได้

นายจักรภพ กล่าวว่า การที่นายกฯ เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นและมีการกู้เงินทั้งที่อยู่นอกกรอบการเจรจา แต่นายกฯกลับมา และรมว.คลังประเทศญี่ปุ่น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นยังปรับระเบียบการช่วยเหลือต่อต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้อยากประชาชนให้จับตาดูการกู้เงินประเทศที่เขากำลังลำบากเหมือนกัน ซึ่งดอกเบี้ยนั้นก็คงจะสูง รัฐบาลนี้มีเด็ก 2 คนขาดประสบการณ์มาบริหารงานคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกรณ์ จาติวณิช

นายจักรภพ กล่าวว่า ตอนนี้ทราบมาว่างบประมาณที่นายทหารใหญ่บางนายพยายามจะใช้จัดการคนเสื้อแดงนั้นเป็นการโยกงบมาจากงบประมาณการฝึกทหารใหม่ ทำให้ทหารในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เจ็บใจมาก เพราะแทนที่จะมีการฝึกทหารใหม่เพื่อไม่ให้มีการสูญเสีย แต่กลับมีการดูดงบส่วนนี้เพื่อใช้มาเล่นทางการเมือง

นายจักรภพ กล่าวว่า กรณีที่กล่าวถึง พล.อ.สมเจตต์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม อยากจะพ่วงถึง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 ขณะนี้กำลังถูกมิตรประเทศของเราคือประเทศซาอุดิอาระเบียดำเนินการข้อมูลบางอย่างจากการอุ้มฆ่านักการทูตของเขาเมื่อหลายปีก่อน แล้วคนอย่างนี้หรือจะมาเป็น ผบช.ภ.5

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เปิดเผยข้อมูลบริษัท ทีพีไอโพลีน โอนเงินให้บริษัท เมซไซอะ ซึ่งเป็นบริษัทประชาสัมพันธ์ จากนั้นได้มีการโอนเงินครั้งละ 1.8-1.9 ล้านบาท ไปยังบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ต่อมาบุคคลในพรรค ปชป.ต่างออกมาปฏิเสธ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ขณะนี้เห็นสัญญาณอำมหิตจากพรรค ปชป.กำลังจะกันให้สมาชิกซีกหนึ่งให้เป็นผู้แบกรับผลกระทบจากเรื่องนี้

"เรียกว่าเป็นการฆ่าตัดตอน หรือพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะเป็นอัมพฤกษ์ก็ได้ที่จะให้ตายไปซีกหนึ่ง เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว ซึ่งคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่าเป็นพรรคซื่อสัตย์ สุจริต แต่การทำงานการเมืองไม่น่าจะมีประกายอำมหิตแบบนี้" นายณัฐวุฒิ กล่าว

ระหว่างนั้น นายณัฐวุฒิได้โชว์เอกสารพร้อมกับอธิบายว่าเป็นสำเนาโอนเงินเมื่อวันที่ 12 พ.ย.47 โดยเป็นการโอนเงินจากธนาคารกสิกรไทย สาขารังสิต เข้าบัญชีใครบางคน 1.8ล้านบาท จากนั้นได้มีการนำสำเนาโอนเงินส่งแฟ็กซ์ไปถึงนายประจวบ สังขาว โดยมีข้อความด้านล่างเขียนด้วยลายมือ ATTN: K.ประจวบ สังขาว FAX:0-2270-2521

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า เบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์แฟกซ์ของพรรคประชาธิปัตย์ อยากถามว่านายประจวบไปนั่งทำอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์ และเท่าที่ทราบนายประจวบเป็นลูกน้องที่ดีแต่น่าเสียดายมีลูกพี่ไม่ดี วันนี้ไม่ใช่เรื่องประเด็นการเมืองอย่างเดียวแต่อยากให้ดูไปถึงเรื่องจริยธรรมด้วยเพราะวันนี้นายประจวบไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน และขอเรียกร้องให้บุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ออกมาชี้แจงด้วย

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่นำผลสอบเหตุการณ์สลายม็อบเมื่อวันที่ 7ต.ค.มาเปิดเผย ตนเองจะหามาเปิดเผยเองเพราะตอนนี้นายตำรวจหลายคนเริ่มอึดอัดใจและพร้อมจะให้ข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้หากเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะแล้วจะโดนฟ้อง ตนเองก็ยินดี และเท่าที่ทราบผลสอบนั้นระบุนายตำรวจที่ตายเพราะรถได้บรรทุกระเบิด และคุณโบว์ที่เสียชีวิตตามเสื้อผ้านั้นยังพบสารซีโฟร์ ซึ่งไม่มีในแก๊สน้ำตาใช่หรือไม่จึงยังไม่มีการเปิดเผยผลสอบออกมา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ