สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ (29 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตัดสินใจเพิ่มการซื้อพันธบัตรรัฐบาลภายใต้โครงการ QE2 ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง และเป็นผลดีต่อตลาดทองคำ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 15.10 ดอลลาร์ หรือ 1.11% ปิดที่ 1,357.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,335.20 - 1,359.70 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 68.9 เซนต์ ปิดที่ 24.564 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 5.40 เซนต์ ปิดที่ 3.7335 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 15.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,707.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 15.65 ดอลลาร์ ปิดที่ 645.10 ดอลลาร์/ออนซ์
วานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 2% ในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด หลังจากที่ในไตรมาส 2 นั้น เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.7%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า อัตราการขยายตัวดังกล่าวยังไม่มากพอที่จะช่วยลดอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงได้
ขะเดียวกัน รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนได้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนต.ค. ที่ระดับ 67.7 ลดลงจาก 68.2 ในเดือนกันยายน ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 68.0 และยังถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งปี โดยข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งมีสัดส่วนใหญ่สุดในระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า เฟดจะกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลในการประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE รอบ 2 เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและเชื่องช้า โดยสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นปัจจัยหนุนราคาทอง เพราะหากมีการอัดฉีดเม็ดเงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบ ก็จะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้ทองคำมีความน่าดึงดูดใจให้เข้าลงทุนมากขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่รอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนในตลาดทองคำ