Analysis: มาตรการ QE2 ของเฟดช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐได้จริงหรือ?

ข่าวต่างประเทศ Friday November 5, 2010 13:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

แม้เศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 แต่จังหวะของการฟื้นตัวยังคงล่าช้า จึงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือที่เรียกกันว่า QE2 ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

มาตรการ QE2 ของเฟดคือการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา โดยเฟดคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยลดอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงซึ่งกำลังขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ

ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เฟดตัดสินใจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หลังจากที่เฟดได้เข้าซื้อตราสารหนี้ประเภทที่มีสินเชื่อบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (MBS) และพันธบัตรรัฐบาล มูลค่ารวม 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนธ.ค.2551 จนถึงเดือนมี.ค.2553 เพื่อยับยั้งไม่ให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงรอบสอง

แม้ว่าความเคลื่อนไหวของเฟดไม่ใช่เรื่องปกตินัก และเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าใช้มาตรการที่อ่อนหัดในการใช้มาตรการฟื้นฟูนับตั้งแต่เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่นักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่มกลับมองว่า เฟดดำเนินการอย่างเหมาะสมแล้ว

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนก็เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้อ่อนแอมากพอที่จะต้องใช้มาตรการ QE เพิ่มเติม พร้อมกับแย้งว่า มาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลลบตามมา อาทิเช่น ภาวะฟองสบู่สินทรัพย์แตกเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2550 และส่งผลให้เศรษฐกิจโลกดิ่งเหว

ข้อดี และ ข้อเสีย ของมาตรการ QE2

เฟดคาดหวังว่ามาตรการ QE2 จะช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ซื้อบ้าน และช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน มาตรการ QE2 จะฉุดค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออกให้แข็งแกร่งขึ้น

คาเรน ไดแนน รองประธานและผู้อำนวยการร่วมโครงการศึกษาด้านเศรษฐกิจแห่ง Brookings Institution กล่าวว่า มาตรการ QE2 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว แม้ว่ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังอ่อนแอให้กลับมาขยายตัวได้ดีเหมือนเดิมก็ตาม

ไดแนนกล่าวให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ของ Brookings Institution ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลงไปกว่า 1 ปีแล้ว และตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งทำให้สหรัฐเหลือเพียงภาระการแก้ปัญหาประชาชนกว่า 8 ล้านคนที่สูญเสียตำแหน่งงานไปในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย

"อาจต้องใช้เวลาหลายปี หรืออาจจะเป็น 10 ปี กว่าที่การจ้างงานในสหรัฐจะกลับสู่ภาวะปกติ" ไดแนนกล่าว

ไดแนนยังกล่าวด้วยว่า การที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด นับเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เฟดตัดสินใจแทรกแซงตลาดในครั้งนี้

ส่วนญี่ปุ่นประสบปัญหาเงินฝืดมาหลายปี เนื่องจากราคาสินค้าอยู่ในระดับที่ต่ำเกินกว่าจะทำกำไรให้กับบริษัทเอกชน ทำให้บริษัทต้องเลย์ออฟพนักงาน กลายเป็นวงจรที่ว่าเมื่อประชาชนที่กำลังตกงานจับจ่ายน้อยลง ก็ทำให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคโดยรวมหดตัว และอาจนำไปสู่การเลย์ออฟพนักงานในภาคเอกชนมากขึ้นอีก

โจเซฟ สติกลิทซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล กล่าวให้สัมภาษณ์กับซินหัวว่า การใช้มาตรการ QE2 ให้ผลเสียมากกว่าได้ และเขาเชื่อว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับสหรัฐในเวลานี้คือ การใช้นโยบายกระตุ้นการคลังรอบสอง ไม่ใช่การอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกส่งตรงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง

โรเบิร์ต จอห์นสัน รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจของ Morningstar ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยอิสระ กล่าวว่า เฟดจะเป็นต้องหยุดใช้วิธีการนี้ เพราะการใช้มาตรการผ่อนคลายมากขึ้นถือเป็นการดำเนินการที่ผิดวิธี และเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้อ่อนแอจนถึงขนาดต้องใช้มาตรการดังกล่าว

ขณะที่นักวิเคราะห์อีกหลายคนมองว่า การตัดสินใจของเฟดครั้งนี้ เป็นเพียงการเลื่อนเวลาความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจออกไปก่อนเท่านั้น

เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก

การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเพิ่มเติมจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนแอลงอีก ซึ่งประเด็นดังกล่าวกำลังกลายเป็นข้อโต้แย้งในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ โดยนักเศรษฐศาสตร์บางคนสนับสนุนนโยบายดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่คนอื่นๆแย้งว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์จะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในแง่ของการกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก

คอนสแตนซ์ ฮันเตอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Aladdin Capital Holdings กล่าวว่า อันตรายอย่างหนึ่งที่รออยู่ข้างหน้าก็คือว่าจะมีประเทศอื่นเดินตามรอยสหรัฐในการทำให้ค่าเงินลดลงหรือไม่

หากมีประเทศใดประเทศหนึ่งประกาศลดค่าเงินของตนเอง ก็อาจก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน อาทิ ตัวเลขหนี้ลดลง หรือเศรษฐกิจดีดตัวขึ้น แต่หากทุกๆประเทศแข่งขันกันลดค่าเงิน ก็จะส่งผลให้เกิดเงินฝืดได้

บทความโดย แมทธิว รัสลิง จากสำนักข่าวซินหัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ