Analysis: นักวิเคราะห์ชี้ทำเนียบขาวระงับขึ้นเงินเดือนข้าราชการไม่ได้ช่วยลดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐ

ข่าวต่างประเทศ Tuesday November 30, 2010 14:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศให้มีการระงับการขึ้นเงินเดือนแก่ข้าราชการของรัฐบาลกลางเป็นเวลา 2 ปี โดยมีเป้าหมายที่จะลดงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลและลดยอดขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลในขณะนี้

"ความจริงที่เจ็บปวดก็คือว่า การที่จะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้นั้น ต้องอาศัยการเสียสละในวงกว้างและข้าราชการพลเรือนก็ควรจะร่วมแบ่งเบาภาระนี้ด้วย นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจและภาคครัวเรือนก็ต้องพร้อมใจกันรัดเข็มขัด และทางรัฐบาลก็ต้องทำด้วย" โอบามากล่าวปราศรัยในรายการที่มีเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศ

การระงับการขึ้นเงินเดือนซึ่งคาดว่าจะช่วยให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณได้มากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้านั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่โอบามากำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมือง เพื่อกดดันให้มีการใช้มาตรการควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงขึ้น

แต่ในขณะที่ทางทำเนียบขาวพยายามบอกว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการเดินทางที่มาถูกทางแล้วนั้น เจ้าหน้าที่บางคนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า การตัดสินใจของโอบามาจะส่งผลกระทบแค่ในวงจำกัดเท่านั้น

โดยนายดาร์เรลล์ อิสซา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ทรงอิทธิพลในคณะกรรมาธิการฝ่ายกำกับดูและปฏิรูปรัฐบาลของสภาคองเกรส กล่าวว่า การระงับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการพลเรือนเป็นมาตรการที่เห็นผลช้า พร้อมกับแนะนำว่าคณะกำงานของโอบามาควรหันไปให้ความสำคัญกับการใช้งบประมาณแบบสูญเปล่า การฉ้อโกง และการใช้งบประมาณที่ผิดพลาดของทางรัฐบาลมากกว่า

ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า มาตรการดังกล่าวของประธานาธิบดีโอบามาเป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ส่งผลเพียงเล็กน้อยในทางปฏิบัติ

แอนดรูว์ บิ๊กส์ นักวิชาการจาก American Enterprise Institute และอดีตรองคณะกรรมาธิการสถาบันสังคมศาสตร์ของสหรัฐ ประมาณการว่า ยอดการใช้จ่ายโดยรวมของรัฐบาลกลางอยู่ที่ระดับ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งหมายความว่า มาตรการระงับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการจะช่วยให้รัฐบาลประหยัดเงินได้น้อยมาก

ขณะที่แอนดี้ บุช นักยุทธศาสตร์ด้านสกุลเงินและนโยบายสาธารณะจากบีเอ็มโอ แคปิตอล กล่าวว่า "ความลับที่สกปรกในวอชิงตันดีซีคือ เมื่อคุณพูดว่าคุณกำลังลดการใช้จ่ายจาก 8% เหลือเพียง 3% แต่จริงๆแล้วคุณกำลังใช้จ่ายมากกว่าแต่ก่อนถึง 3%"

ด้านเจมส์ เชิร์ค นักวิเคราะห์ด้านนโยบายจาก Heritage Foundation กล่าวว่า อัตราค่าแรงโดยเฉลี่ยของข้าราชการเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบเป็นรายชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าอัตราจ้างงานของภาคเอกชน และเมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเป็นปัจจัย ค่าแรงของข้าราชการก็จะสูงกว่าภาคเอกชนอยู่ราว 30 - 40%

ทำเนียบขาวยังเดินหน้าลดงบประมาณการใช้จ่าย

ทำเนียบขาวกล่าวว่า จะยังคงเดินหน้าลดงบประมาณการใช้จ่าย แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดอย่างเฉพาะเจาะจง

"เราเชื่อว่านี่เป็นก้าวแรกของมาตรการอื่นๆที่สร้างความลำบากใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่เราจำเป็นต้องควบคุมงบประมาณเพื่อให้สถานะทางการคลังของประเทศเราแข็งแกร่ง แล้วคุณจะเห็นได้ว่าการตัดสินใจของรัฐบาลในวันนี้จะช่วยให้ต้นทุนงบประมาณลดลงได้ และยิ่งทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย" เจฟฟรีย์ ซินท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐกล่าว

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐกล่าวว่า คณะทำงานของโอบามายังได้วางแผนที่จะประเมินการลดต้นทุนด้านอื่นๆในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า นอกเหนือไปจากการระงับการขึ้นเงินเดือน ซึ่งรวมถึงการลดงบประมาณในระบบ Medicare ซึ่งเป็นระบบประกันสุขภาพที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป, การลดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม ลดงบประมาณทางทหาร และลดงบประมาณในโครงการอื่นๆ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเลขหนี้ของสหรัฐพุ่งขึ้นเฉียดระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2563

ในการตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า มาตรการลดงบประมาณการใช้จ่ายในคราวต่อไปจะรวมถึงการลดปริมาณการจ้างงานในภาครัฐด้วยหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐไม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเฉพาะเจาะจงในเรื่องนี้ กล่าวแต่เพียงว่า การตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนและการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้จ่ายของรัฐบาล และไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ที่มองว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางได้รับค่าตอบแทนสูงเกินไป

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ทำเนียบขาวตัดสินใจทำเรื่องนี้ก็เพราะรัฐบาลกำลังอยู่ขั้นตอนการพิจารณางบประมาณ ซึ่งจะต้องมีการตัดสินใจเรื่องค่าตอบแทนในปี 2555 ด้วย

บทความโดย แมทธิว รัสลิง จากสำนักข่าวซินหัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ