คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติว่า จีนจะเปลี่ยนนโยบายการเงินจากเดิมที่ใช้นโยบายแบบค่อนข้างผ่อนคลาย ไปเป็นนโยบายที่รอบคอบในปีหน้า แต่จะยังคงใช้นโยบายการคลังเชิงรุกต่อไป
เมื่อปลายปี 2551 นั้น จีนได้เปลี่ยนนโยบายการคลังจากนโยบายที่ระมัดระวังมาเป็นนโยบายเชิงรุก และผ่อนคลายนโยบายการเงินจากเข้มงวดมาสู่นโยบายผ่อนคลายปานกลาง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถรับมือกับวิกฤตการเงินโลกได้
นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำได้แสดงความเห็นกับสำนักข่าวซินหัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงจุดยืนนโยบายการเงิน โดยเซียะ ปิน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเงิน ในสังกัดศูนย์วิจัยการพัฒนาของคณะรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายจะช่วยส่งเสริมให้การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นไปอย่างยั่งยืน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัวแข็งแกร่งและเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับสูง ขณะที่สภาพคล่องจากต่างประเทศสูงขึ้น
ศาสตราจารย์จาง หลี่ฉิง จากมหาวิทยาลัย Central University of Finance and Economics กล่าวว่า การตัดสินใจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายปานกลางในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความเคลื่อนไหวแบบพิเศษ เพื่อรับมือกับวิกฤตการเงินโลก ซึ่งน่าจะสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศมีเสถียรภาพ
เกา เป่ยหยง หัวหน้าสถาบันเศรษฐศาสตร์การค้าและการเงิน กล่าวว่า กฎระเบียบด้านเศรษฐกิจมหภาคของจีนนั้นมีเป้าหมาย 2 ประการ ได้แก่ การรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการควบคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งการรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นจะต้องขยายนโยบายการคลัง ขณะที่การรับมือกับเงินเฟ้อจะต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้จำเป็นต้องใช้นโยบายทั้งสองผสมผสานกันไป
หยวน กังหมิง นักวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า จีนควรจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการคุมเข้มจนเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้
หลิว เทียจุน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคของไห่ตง ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า การตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้นโยบายการเงินแบบระมัดระวังนั้น เป็นสัญญาณว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนจะควบคุมสภาพคล่องเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างควบคุมไม่อยู่