นายเฉิน ปินไค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลจีนกล่าวว่า การที่ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานการกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ครั้งล่าสุด สะท้อนให้เห็นว่ามีเม็ดเงินสกุลต่างประเทศไหลเข้าสู่ประเทศจีนเป็นจำนวนมากในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจีนต้องระบายสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบ
นอกจากนี้ นายเฉินระบุว่า กระแสคาดการณ์ที่ว่าจีนจะประกาศขึ้นค่าเงินหยวน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยของจีนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและประเทศอื่นๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีเม็ดเงินสกุลต่างประเทศทะลักเข้าสู่ประเทศจีนจำนวนมาก
ด้านนายหลิว กีหยวน นักวิเคราะห์จากบริษัท กีลู่ ซิเคียวริตีส์กล่าวว่า การประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองสภาพคล่องครั้งล่าสุดจะสามารถดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบธนาคารจีนได้มากถึง 3 แสนล้านหยวน และยังสะท้อนให้เห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อของจีนพุ่งขึ้นถึงจุดที่เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ในวงกว้างว่า จีนจะใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมเงินเฟ้อ
ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานการกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์อีก 0.5% เมื่อวานนี้ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นการประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองครั้งที่ 6 ในปีนี้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและผลกระทบที่เกิดจากการปล่อยเงินกู้จำนวนมากของธนาคารพาณิชย์
ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศประจำเดือนพ.ย.ปีนี้ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.64 แสนล้านหยวน จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 5.877 แสนล้านหยวน แต่ยังสูงกว่าระดับของเดือนพ.ย.ปีที่แล้วที่ 2.692 แสนล้านหยวน
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ พุ่งขึ้น 5.1% ในเดือนพ.ย. ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 28 เดือน จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 4.4% ส่วนดัชนี CPI โดยรวมในช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. เพิ่มขึ้น 3.2% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่กำหนดไว้สำหรับปี 2553 ที่ระดับ 3% สำนักข่าวซินหัวรายงาน