นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีหน้า เพื่อควบคุมสภาพคล่องและจัดการเรื่องเงินเฟ้อ
จาง เสี่ยวจิง นักวิจัยของสถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) กล่าวว่า จีนกำลังเข้าสู่วงจรของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเศรษฐกิจของจีนสามารถประคองตัวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ขณะเดียวกัน จีนก็กำลังเผชิญอยู่กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เมื่อพิจารณาจากสภาพคล่องระยะสั้นที่สูงเกินไป และต้นทุนที่สูงขึ้น
นักวิเคราะห์เชื่อว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากนักอาจจะช่วยควบคุมราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ รวมทั้งควบคุมต้นทุนด้านสินทรัพย์ และลดกระแสเงินร้อนที่ไหลเข้าประเทศได้ในระดับหนึ่ง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเหมาะสมจะทำให้ต้นทุนการใช้เงินทุนสูงขึ้น และยังส่งผลต่อการคาดการณ์เรื่องภาวะฟองสบู่สินทรัพย์โดยนักลงทุนมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น สินทรัพย์ในประเทศอาจจะดึงดูดกระแสเงินร้อนได้น้อยลง และการค้ากำไรแบบข้ามพรมแดนระยะสั้นอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับปัจจุบัน
จวง เจียน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย กล่าวว่า ธนาคารกลางจีนอาจจะใช้มาตรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ และอาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25%
จวงกล่าวต่อไปว่า อัตราความถี่ของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับระดับของดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน และราคาอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า โดยจีนอาจจะใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อแทนที่จะใช้วิธีการขึ้นดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว
นางอู๋ เสี่ยวเหลียน รองผู้ว่าธนาคารกลางจีน ระบุในบทความที่มีการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของธนาคารกลางจีนว่า จีนจะยังคงใช้นโยบายการเงิน อาทิ อัตราดอกเบี้ย เพดานกันสำรอง และ open market operation อย่างครอบคลุมต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางรายมีมุมมองที่แตกต่างออกไปในประเด็นที่ว่า จีนกำลังเข้าสู่วงจรของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
จ้าว สี่จุน จากมหาวิทยาลัยเหรินหมิน กล่าวว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยขยายช่วงสเปรดของอัตราดอกเบี้ยระหว่างจีนและตลาดในต่างประเทศ และอาจจะดึงเม็ดเงินร้อนเข้ามาด้วยเช่นกัน
ขณะที่แนวโน้มของดัชนี CPI และราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่แน่นอน ดังนั้น อาจจะเป็นการมั่นใจเกินไปที่จะยืนกรานว่า จีนกำลังเข้าสู่วงจรของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน