ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (31 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์และเข้าซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า รวมถึงสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายวันสุดท้ายของปี 2553 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งแกร่งขึ้นในปี 2554 เนื่องจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าถือครองดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.52% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 81.120 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 81.540 เยน และดิ่งลง 0.21% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9335 ฟรังค์ จากระดับ 0.9355 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.63% แตะที่ 1.3365 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3281 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้น 1.18% แตะที่ 1.5602 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5420 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.53% แตะที่ 1.0224 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.0170 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.21% แตะที่ 0.7797 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7704 ดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนเทขายดอลลาร์สหรัฐในวันทำการสุดท้ายของปี 2553 และหันไปซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งในปีหน้า โดยตลอดปี 2553 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1.4% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในตะกร้าสกุลเงินของโลก
ขณะที่ค่าเงินยูโรร่วงลงทั้งสิ้น 8.3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปี 2553 และเงินปอนด์ร่วงลงทั้งสิ้น 2.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์
นักวิเคราะห์ด้านปริวรรตเงินตราจากธนาคารเวลส์ ฟาร์โก คาดการณ์ว่า ในปี 2554 นี้ สกุลเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอีก 7% เมื่อเทียบกับเยน รวมทั้งจะแข็งค่าขึ้นอีก 4% เมื่อเทียบกับยูโร และแข็งค่าขึ้นอีก 1% เมื่อเทียบกับปอนด์ เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐจะแข็งแกร่งตลอดปี 2554 แซงหน้ายุโรปและญี่ปุ่น รวมทั้งการที่ภาคเอกชนและผู้บริโภคของสหรัฐมีความเชื่อมั่นที่จะกู้ยืมเงินมากขึ้น ซึ่งความต้องการเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐสูงขึ้น และจะเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าถือครองดอลลาร์เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในรัฐนิวยอร์กพุ่งขึ้นแตะระดับ 70 จุดในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นที่มีต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 75.2 จุด จากระดับ 71.9 จุด
นักลงทุนจับตาดูการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์หน้า รวมถึงดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.ซึ่งสถาบัน ISM จะเปิดเผยในวันจันทร์ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนทั่วสหรัฐเดือนธ.ค.ซึ่ง ADP Employer Services จะเปิดเผยในวันพุธ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนธ.ค. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์