นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวเมื่อเร็วๆนี้ว่า จีนกำลังเผชิญกับความท้าทายในการดูแลให้ราคามีเสถียรภาพ รวมทั้งการจัดการเรื่องการคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อในปีนี้
ความท้าทายใหญ่สุดสำหรับจีนในปี 2554 คือ การดูแลให้ราคาสินค้ามีเสถียรภาพ และจัดการกับการคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อ ด้วยการขยายตัวที่แข็งแกร่งและ output gap (ส่วนต่างระหว่าง GDP และเป้าหมายของ GDP) ที่ลดลง จึงคาดว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะยังคงสูงขึ้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นนั้น เป็นเพราะเงินจำนวนมากในระบบซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวทางการเงินจำนวนมหาศาลในปี 2552-2553
เลขาธิการอาเซียนกล่าวว่า จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลก ทั้งนี้ ในบรรดาเศรษฐกิจที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ดูเหมือนว่าจีนจะประสบความสำเร็จมากที่สุด ดังเห็นได้จากอัตราการขยายตัวที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวของประเทศอื่นๆที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน เช่น รัสเซีย และประเทศในยุโรปตะวันออก
ในมุมมองของเลขาธิการอาเซียนนั้น เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในระยะติดเชื้อ โดยอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศโดยรวมมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัว ส่วนการขยายตัวของเงินเฟ้อมีแนวโน้มว่าจะเร็วขึ้น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และในเกาหลีใต้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้หมายความว่า เศรษฐกิจจีนกำลังสะดุด
นายสุรินทร์กล่าวว่า อัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงนั้น เป็นผลมาจากการรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและเงื่อนไขตามวัฏจักร เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปจากภาคธุรกิจที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศมาเป็นกลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นกว่าการลงทุน ในฐานะปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัว