สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (25 ม.ค.) โดยสัญญาดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยงนั้น ปรับตัวลดลงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 12.20 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 1,332.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,321.90 - 1,338.00 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินปิดที่ 26.805 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 51.6 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงปิดที่ 4.2260 ดอลลาร์/ปอนด์ ลดลง 12.25 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 32.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,787.30 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 31.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 784.75 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำเพราะมองว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยมีการคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2553 ของสหรัฐ จะขยายตัวในอัตรา 3.5% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.6% ของไตรมาส 3 เพราะได้แรงหนุนจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 4 ปี
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยรายงาน "World Economic Outlook" เมื่อวานนี้ โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เป็น 4.4% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนต.ค. อันเนื่องมาจากผลพวงในด้านบวกของมาตรการด้านการคลังที่สหรัฐอเมริกาประกาศใช้
นอกจากนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเจนเนอรัล อิเล็กทริก และเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจแห่งยุโรปอย่างเยอรมนีที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในปีนี้นั้น นับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจและลดการถือครองทองคำ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มในช่วงขาขึ้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังต้องการถือครองทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐยังคงซบเซา โดยเมื่อวานนี้ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เขตเมืองของสหรัฐประจำเดือนพ.ย.ปี 2553 ร่วงลง 1.6% จากระดับของเดือนพ.ย.ปี 2552 มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.8%