นายทรงภพ พลจันทร์ รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า หลังสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเกินระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้มีผู้ประกอบการมายื่นเรื่องขอรับสัมปทานขุดเจาะและสำรวจปิโตรเลียมมากขึ้น โดยในการเปิดประมูลสัมปทานรอบที่ 20 นี้ ราคาน้ำมันจะขึ้นไป 140 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ผลเสียคือราคาน้ำมันในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยปริมาณการใช้ปิโตรเลียมในประเทศอยู่ที่ 8 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่ไทยสามารถผลิตปิโตรเลียมได้เพียง 1.5 แสนบาร์เรล/วันเท่า ซึ่งยังไม่ถึง 20% ของปริมาณการใช้ ดังนั้นกรมฯจึงจำเป็นต้องหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ เพิ่มเติมตลอดเวลา
โดยแหล่งที่มีศักยภาพในประเทศ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแหล่งทะเลอันดามันน้ำลึก โดยในแหล่งทะเลอันดามันน้ำลึกเป็นพื้นที่ใกล้กับแหล่งเยตากุน แหล่งยานาดา ในประเทศสหภาพพม่า ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนในขุดหลุมสำรวจ 1 หลุม สูงถึง 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับแหล่งในอ่าวไทยที่ใช้เงินลงทุนในการสำรวจเพียง 3—5 ล้านดอลลาร์ แต่ถือว่าเป็นแหล่งที่น่าสนใจอย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ
ส่วนในทะเลอันดามันปัจจุบันมีการให้สัมปทานปิโตรเลียมแก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ซึ่งได้ทำการสำรวจในบริเวณนั้นมาเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว แต่ยังไม่พบปิโตรเลียมมากพอที่จะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ โดยในปลายเดือน มี.ค.นี้ ปตท.สผ.จะมารายงานความคืบหน้าของการสำรวจในบริเวณนั้น ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มีนโยบายให้สำรวจเพิ่มเติมในบริเวณที่ใกล้กับประเทศอินเดีย ซึ่งอยู่ในโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับแหล่งยาดานา และเยตากุน อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะพบปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์มากขึ้น
สำหรับแหล่งก๊าซธรรมชาติ 3 หลุมจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความน่าสนใจ คือ TEW-E ใน จ.กาฬสินธุ์ ของบริษัท Tatex Thailand ,LLC , หลุมดาวเรือง 2 จ.ชัยภูมิ ของ บริษัท Salamander Energy และหลุมรัตนะ จ.ขอนแก่น ของ ปตท.สผ. ซึ่งหากประสบความสำเร็กจในการสำรวจทั้ง 3 แปลงนี้ ก็จะทำให้มีผู้เข้ามาขอรับสัมปทานมากขึ้น ทำให้คาดว่าจะสามารถเก็บค่าภาคหลวงได้มากขึ้นกว่าปีที่แล้ว หรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท
รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการเปิดให้สัมปทานการสำรวจปิโตรเลียมรอบใหม่ครั้งที่ 21 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้เร็วสุด คือ ในช่วงปลายปีนี้ หรืออาจจะต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาพิจารณา โดยการพิจารณาจะต้องมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น และต้องพิจารณาจากฐานะทางการเงินของบริษัทที่จะเข้ามาประมูลด้วย ซึ่งขณะนี้มีหลายรายที่แสดงความสนใจที่จะเข้ามาสำรวจในครั้งนี้ เช่น จีน
สำหรับแนวคิดของรัฐบาลที่จะนำเงินค่าภาคหลวงมาใช้ชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี ) ก็สามารถดำเนินการได้ 2 วิธี คือ 1.ปรับแก้กฎหมาย และ 2.กระทรวงพลังงานต้องส่งเงินเข้ารัฐบาล และจึงนำเป็นเงินงบประมาณออกมาใช้ในการชดเชยราคาดังกล่าว