นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เป็น 2.50%ต่อปี ไม่ใช่เป็นปัจจัยหลักทำให้นักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย จนเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ
แต่นักลงทุนมองถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง และความปลอดภัยในการเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยเป็นหลัก เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนของเงินสกุลหลัก จากปัญหาหนี้สาธารณะที่ไม่แน่นอน ปัญหาเชิงโครงสร้างการเงินในสหรัฐยังมีอยู่ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังภูมิภาคมีความผันผวนจากปัญหาเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินหรือไม่นั้น เป็นเรื่องเชิงเปรียบเทียบ เพราะหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกันก็มีทั้งปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ และกำลังจะปรับขึ้นในระยะข้างหน้า ทำให้บางประเทศมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าไทย แต่เม็ดเงินต่างชาติก็ไม่ได้เข้าไปลงทุนในประเทศดัวกล่าวสูงกว่าไทย ดังนั้น ธปท.จึงมองว่าค่าเงินบาทปีนี้จะเคลื่อนไหวลักษณะ 2 ทิศทางมากขึ้น และคาดเดาได้ยาก
“แรงกดดันจากนักลงทุนผู้มีถิ่นฐานในประเทศลดลงจากการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าส่งออกที่ชะลอการขายล่วงหน้าไปมาก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยเกินดุลลดลงจากปีก่อน ประกอบกับ นักลงทุนผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศยังลดการลงทุนในหุ้นไทยลง และป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนมุมมองต่อค่าเงินบาทเป็น 2 ทิศทาง ดังนั้น ผู้ส่งออกและนำเข้าเป็นเงินตราต่างประเทศควรป้องกันความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้นำเข้าที่ยังป้องกันความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ"นางผ่องเพ็ญ กล่าว