สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดระดับใหม่เมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) โดยสัญญาทะยานขึ้นกว่า 25 ดอลลาร์ เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำและเดินหน้ามาตรการ QE2 จนถึงกลางปีนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 25.2 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 1,556.4 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,532.10-1,569.80 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.058 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.599 ดอลลาร์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 8.25 เซนต์ ปิดที่ 4.179 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 25.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,865.50 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 16.85 ดอลลาร์ ปิดที่ 792.15 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาดทองคำว่า โดยปกติแล้วราคาทองคำจะแปรผกผันกับสกุลเงินดอลลาร์ การที่ดอลลาร์ร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 7 ทำให้สัญญาทองคำทะยานขึ้นทำนิวไฮอีกครั้งเมื่อคืนนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าดอลลาร์จะร่วงลงอีกในอนาคต
ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 72.943 จุดในวันศุกร์ จากวันพฤหัสบดีที่ 73.111 จุด หลังจากคณะกรรมการเฟดตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% และเดินหน้ามาตรการ QE2 ด้วยการทยอยซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ไปจนถึงกลางปี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนแอ และหนุนราคาทองคำพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายวัน
ทั้งนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปแล้ว 3.5% ในสัปดาห์นี้ และพุ่งขึ้น 8.1% นับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนในปีที่แล้วราคาทองคำปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 33%
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นการถือครองมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว