ฟิทช์ ปรับแนวโน้มเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลบาทของไทยจาก"ลบ"เป็น"มีเสถียรภาพ"

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 12, 2011 17:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยผลการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือ ของประเทศไทย โดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch)ว่า Fitch ได้มีการปรับระดับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ ระยะยาวสกุลเงินบาทของรัฐบาล (Outlook: Local Currency Long-Term Issuer Default Rating) จากมุมมองที่เป็น ลบ (Negative Outlook) เป็นมีเสถียรภา (Stable Outlook) ที่ระดับ A-

พร้อมทั้งยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล (Foreign Currency Long-Term Issuer Default Rating) ที่ระดับ BBB ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ ของรัฐบาล (Foreign Currency Short-Term Issuer Default Rating) ที่ระดับ F3 และระดับเพดานอันดับความน่าเชื่อ ถือของประเทศ (Country Ceiling) ที่ระดับ BBB+

ตารางสรุปที่ 1 ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย Fitch Ratings ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2554

อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดย Fitch Ratings               สถานะ             Outlook
อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล
 ระยะยาว (Foreign-Currency Long-Term IDR)                   BBB              Stable
 ระยะสั้น (Foreign-Currency Short-Term IDR)                    F3                -

อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาทของรัฐบาล
  ระยะยาว (Local-Currency Long-Term IDR)                      A-              Stable
  เพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling)           BBB+                -

Fitch เห็นว่า การปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทของประเทศในครั้งนี้ สะท้อนถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศที่เป็น ปตามคาดการณ์ไว้ อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การ ดำเนินการตามแผนสร้างเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาล และความเสี่ยงของภาระผูกพันของรัฐบาลที่ลดลง อย่างไรก็ดี ความไม่ แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและผลของการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมนี้อาจมีผลต่อความมีเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งอาจส่งผลลบต่ อความน่าเชื่อถือของประเทศไทย

ในการวิเคราะห์กรณีฐาน Fitch คาดว่า สัดส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP จะลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 30 ในปีงบ ประมาณ พ.ศ.2553 เป็นร้อยละ 27 ในปีงบประมาณ พ.ศ.2558 พร้อมทั้งได้ประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ระหว่างปี 2555-2558 โดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในปี 2554

โดยสถานะทางการคลังในปี 2553 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ดังเห็นได้จากการขาดดุลการคลังที่ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.8 ของ GDP จากเคยอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 ของ GDP ในปี 2552 (การขาดดุลการคลังตามคำนิยามของ Fitch เท่ากับ การ ขาดดุลงบประมาณรวมกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ) และการที่รัฐบาลตั้งเป้าที่จะดำเนินนโยบายสมดุลทางการ คลังให้ได้ภายในปี 2559 หลังการดำเนินนโยบายขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปี 2552 — 2555

นอกจากนี้ Fitch คาดว่า ระดับความเสี่ยงของภาระผูกพันของรัฐบาลจะลดลงเนื่องจากการกำหนดวงเงินค้ำประกัน เงินฝาก นอกเหนือไปจากการลดลงของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ

การที่เศรษฐกิจไทยมีสัดส่วนหนี้ที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นนับเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งในการรับมือกับผล กระทบจากภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ โดยสินเชื่อของภาคเอกชนลดลงเหลือเพียงร้อยละ 79 ของ GDP ในปีที่ผ่านมา จากที่อยู่สูงถึงร้อยละ 182 ในปี 2540 เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทาง การเมืองภายในประเทศในปี 2549 พร้อมกับได้ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2551 — 2552 อย่างไรก็ดี Fitch ได้ให้ข้อ สังเกตว่า ความเสี่ยงที่เกิดจาการชะ อตัวทางเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านการคลังได้

อย่างไรก็ดี Fitch มองว่า ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองยังคงเป็นปัญหาด้านโครงสร้างที่ไม่ได้รับการแก้ไข โดย Fitch มองว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมปีนี้จะไม่ช่วยในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากสถานการณ์ ทางการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลงอาจส่งผลเสียต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะอันดับ ความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทที่อาจได้รับผลกระทบหากมีการดำเนินนโยบายประชานิยมเพื่อใช้ลดความขั แย้ง ทางสังคมของประเทศเป็นการเพิ่มภาระทางการคลัง ซึ่งหากอ้างอิงจากการให้คะแนนของธนาคารโลก (World Bank) แล้ว คะแนนด้านความมีเสถียรภาพทางการเมืองของไทยยังอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ BBB

สำหรับสถานะการเงินต่างประเทศสุทธิของประเทศไทยนั้นมีความแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่นในกลุ่ม BBB อย่างมาก รวม ทั้งสินเชื่อสุทธิที่มีจำนวนสูงที่สูดในกลุ่มประ เทศ BBB โดย Fitch เห็นว่า ดุลด้านต่างประเทศของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ดัง เห็นได้จากระดับสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30 ต่อ GDP ในปี 2549 เป็นร้อยละ 52 ต่อ GDP ในปี 2553 ใน ขณะที่ระดับสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของประเทศอื่นในกลุ่ม BBB โดยเฉลี่ย ลดลงจากร้อยละ 7 มาอยู่ที่ร้อยละ 6 นอกจากนี้ ระดับ ความสามารถในการชำระคืนเงินหนี้ต่างประเทศของไทยก็ยังดีกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอีกด้วย

อย่างไรก็ดี สบน.เห็นว่าผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในครั้งนี้ไม่สะท้อนถึงสถานะทางเศรษฐกิจไทย และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายอื่นแล้วอยู่ต่ำกว่า และ การดำเนินการที่ล่าช้าในการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของไทยโดยที่ Fitch ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาว สกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินบาทของไทยจากระดับ BBB+ และ A เป็น BBB และ A- ตามลำดับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2552 และได้ให้มุมมองที่เป็นลบตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2553 อาจส่งผลให้นักลงทุนได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสิน ใจในการลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

ในขณะที่หากพิจารณาจากตัวเลขโดยรวมทางเศรษฐกิจในประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่อยู่ในเกณฑ์ดี เช่น อัตราการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่ต่ำ แนวโน้มการลงทุนโดยต รงจากต่างประเทศที่เป็นบวก การท่องเที่ยวและการส่งออกที่จะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมจากนโยบายส่งเสริมของรัฐ ซึ่งแสดงให้ เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของประเทศที่สามารถรองรับความผันผวนจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกและเหตุการณ์ความ ไม่มั่นคงทางการเมืองท ผ่านมาได้ และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงเข้มแข็งและเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ