ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 26-27 เม.ย.เมื่อคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยรายงานระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายตัวของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและการลงทุนในภาคเอกชน รวมทั้งตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีความเห็นพ้องต้องกันว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นในปีช่วงหลังของปีนี้ พร้อมระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกชะลอตัวลงมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งถือเป็นปัจจัยชั่วคราว นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกชะลอตัวลงยังมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และตัวเลขการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่น้อยเกินคาด
รายงานการประชุมของเฟดระบุว่า คณะกรรมการเฟดบางคนกล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องเตรียมใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และคณะกรรมการเฟดบางคนมองว่า ภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้อาจทำให้เฟดต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือขายสินทรัพย์ในพอร์ทของเฟดภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเฟดหลายคนมองว่า การถอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ก่อนกำหนดอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นของเศรษฐกิจภายในประเทศ และอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลง
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐลงสู่ระดับ 3.1-3.3% ในปีนี้ จากที่คาดการณ์เมื่อเดือนม.ค.ว่าจะขยายตัวได้สูงถึง 3.9% พร้อมกับคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานโดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 8.4-8.7% สำนักข่าวเกียวโดรายงาน