(เพิ่มเติม) ส.อ.ท.มองศก.ไทยปีนี้โต 4.2-4.5% ผลรัฐบาลใหม่กระตุ้นบริโภค-เงินเฟ้อหลุดกรอบ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 26, 2011 15:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในการสัมมนา"รายงานเศรษฐกิจไทยครึ่งปี 2554 และทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง...มุมมองภาคเอกชน"ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้เฉลี่ย 4.2-4.5% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังการเติบโตของเศรษฐกิจภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่าจะเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบประชานิยมจะผลักดันการเติบโตต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ซึ่งจะทำให้การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับผลจิตวิทยาในเชิงบวกขยายตัว 4.1-4.6%

ในขณะที่ภาคการส่งออกทั้งปี 54 คาดว่าจะเติบโตถึง 20.5-22% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 2.25 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนนำเข้าเติบโต 25-26% มูลค่า 2.14 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ปีนี้ไทยจะเกินดุลการค้าประมาณ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ภาคการผลิตยังมีการขยายตัวได้ดี และดัชนีความเชื่อมั่น (ส.อ.ท.) ครึ่งปีหลังยังสูง การนำเข้าสินค้าประเภททุนและวัตถุดิบ ช่วงครึ่งปีแรกที่ 22.4% และ 38.30% ตามลำดับ ส่งผลตัวการขยายตัวด้านการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ในช่วงครึ่งหลังของปีจะมีการขยายตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่น ส.อ.ท.ในช่วงหลังของปี554 มีตัวเลขที่สูงขึ้น 113.5 สูงกว่าดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ค.54 ที่ 108.3 และเดือน มิ.ย.54 ที่ระดับ 107.4 ส่งผลทำให้การว่างงานของไทยอยู่ที่อัตราที่ค่อนข้างต่ำที่ 0.8-0.9%

ขณะที่การเมืองนิ่งส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ในช่วงครึ่งปีแรกระดับจองห้องพักของโรงแรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 คาดว่าการท่องเที่ยวจะขยายตัวได้มากกว่า 15-17% คิดเป็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 17-18 ล้านคน ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์จะขยายตัวในระดับปานกลางค่อนไปทางดีที่ระดับ 4.9% จากนโยบายรัฐบาลกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ตามโครงการบ้านหลังแรก

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าเฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 3.8-4.5% และหากมีการผลักดันนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ รวมทั้นโยบายประชานิยมเต็มรูปแบบ อาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานต้นปี 55 หลุดกรอบ 0.5-3.0% จึงมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะปรับดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% ในปัจจุบัน เป็น 3.75% หรือ 4% ภายในสิ้นปี 54

หากรัฐบาลใหม่มีการผลักดันนโยบายประชานิยมตามที่ได้หาเสียงไว้ จะต้องใช้เม็ดเงิน 1.855 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี (55-59) ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีก 5-6 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะต่อหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีการขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตรา 8-10% ต่อเนื่องไปทุกปี จึงจะสามารถรองรับค่าใช้จ่ายประชานิยมได้ นโยบายข้าวที่มีแนวโน้มว่ารัฐบาลใหม่จะให้รัฐทำหน้าที่ผลิตและจำหน่ายข้าวทั้งในประเทศและส่งออก อาจกระทบกลไกการผลิตข้าว ซึ่งเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและอีกหลายนโยบายของรัฐบาลล้วนกระทบขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป จากปัญหาหนี้สาธารณะ รวมทั้งค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากเงินสกุลหลักที่จะไหลเข้ามาทำกำไรในภูมิภาคมากขึ้น และมีอาจทะลุหลุดต่ำกว่า 29 บาท/ดอลลาร์ได้ในปลายไตรมาส 3

"เศรษฐกิจเราโตได้แน่นอน ปีนี้ส.อท.คาดจีดีพีโต 4.2-4.5% ส่วนปีหน้าคาดว่าเกิน 5% ซึ่งเป็นการเติบโตภายใต้ความเสี่ยงเรื่องประชานิยม ค่าแรงสูง และปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่ภาพรวมแล้วมองว่าเศรษฐกิจน่าจะไปได้" นายธนิต กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ