สัญญาณฟื้น!! ดัชนี MPI มี.ค.หดตัว 0.66%YoY แต่เพิ่มขึ้น MoM รับมาตราการกระตุ้นศก.ต่อเนื่อง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 30, 2025 12:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาณฟื้น!! ดัชนี MPI มี.ค.หดตัว 0.66%YoY แต่เพิ่มขึ้น MoM รับมาตราการกระตุ้นศก.ต่อเนื่อง

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน มี.ค.68 อยู่ที่ 105.03 หดตัว 0.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ดัชนีฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 99.96 หดตัว 1.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

แต่เมื่อเทียบกับเดือน ก.พ.68 ดัชนี MPI ขยายตัว 9.21% และอัตราการใช้กำลังการผลิต เดือนมี.ค.อยู่ที่ 63.68%

"ถึงแม้ดัชนีฯ ยังปรับตัวลดลง แต่แนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลังได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัว" นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าว

ปัจจัยสนับสนุนหลักต่อภาคการผลิต ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 2 เฟส โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการปรับลดราคาน้ำมันลง รวมถึงการค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่าส่งออกรวมเพิ่มขึ้น 17.80% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 18%

โดยสินค้าส่งออกหลักที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทอง เครื่องปรับอากาศ แผงสวิทซ์และแผงควบคุมไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และการท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นปัจจัยบวกกับภาคเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าและเครื่องประดับ เป็นต้น

"ผลจากนโยบายทรัมป์ เชื่อว่าจะส่งผลให้ดัชนีเดือนเมษาฯ ยังคงมีแนวโน้มที่ดี เพราะผู้นำเข้าจะเร่งซื้อเพิ่มขึ้นเพื่อเก็บเข้าสต๊อก" นายภาสกร กล่าว

*อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตฯ ได้แก่

- น้ำตาล ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.94% จากผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายดิบและกากน้ำตาล เป็นหลัก ตามปริมาณอ้อยเข้าหีบที่มากกว่าปีก่อน เนื่องจากมีน้ำมากพอในพื้นที่เพาะปลูก และราคาอ้อยจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น

- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.93% จากผลิตภัณฑ์ Hard Disk Drive (HDD) เป็นหลัก ตามอุปสงค์ที่เริ่มกลับมาหลังชะลอตัวในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ HDD ที่มีความจุสูง

- ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.40% จากผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ยางแท่ง และยางผสม เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายเพิ่มเตาเผาเพื่อขยายกำลังการผลิต และมีคำสั่งซื้อจากจีน อเมริกา และยุโรป (ผ่านการรับรอง EUDR) มากขึ้น


*อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีฯ ได้แก่

- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.80% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันเครื่องบินเป็นหลัก เนื่องการชะลอตัวของความต้องการใช้ขนส่งเดินทาง โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยว

- ยานยนต์ หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.83% จากผลิตภัณฑ์รถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1,800 ซีซี และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เป็นหลัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ

- กาแฟ ชา และสมุนไพรผงสำหรับชงเป็นเครื่องดื่ม หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82.62% จากผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปเป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่งผลให้ตลาดหดตัวทั้งในประเทศและส่งออก


*จับตานโยบายภาษีสหรัฐฯ

สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือน เม.ย.68 ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง โดยปัจจัยภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังต่อเนื่องตามการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลง รวมทั้งความกังวลต่อนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่กดดันการค้าโลก และภาคการผลิตของสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นที่ชะลอตัว รวมทั้งมาตรการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดสงครามการค้าที่รุนแรงมากขึ้นได้ในระยะข้างหน้า

ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าวว่า ผลจากการที่สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากไทยในอัตรา 25% เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา จากเดิมเก็บเพียง 0-2.5% ได้แก่ รถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยคาดว่ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) จะได้ผลกระทบทางตรงน้อย เนื่องจากมีการส่งออกไปในปริมาณที่ต่ำและมูลค่าโดยรวมไม่สูง

ขณะที่รถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) คาดว่าจะได้ผลกระทบ แต่ทุกประเทศได้รับผลกระทบในระดับที่ใกล้เคียงกันจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนักในช่วงแรก แต่จะได้รับผลกระทบเมื่อประเทศที่อยู่ภายใต้ความตกลง USMCA หรือสหรัฐฯ สามารถเริ่มผลิตรถจักรยานยนต์เพื่อทดแทนการนำเข้าได้ ขณะที่ชิ้นส่วนยานยนต์คาดว่าจะได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง เนื่องจากไทยส่งออกชิ้นส่วนสำคัญที่อยู่ในขอบข่ายของสินค้าที่จะขึ้นภาษี เช่น ยางล้อ เครื่องยนต์ เกียร์ ระบบส่งกำลัง และส่วนประกอบไฟฟ้า ทั้งนี้ต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าจะกระทบพิกัดภาษีใดบ้าง เพื่อประเมินผลต่อไป

และเมื่อวานนี้ (29 เม.ย.68) รัฐบาลไทยและญี่ปุ่นได้ร่วมกันจัดประชุมกลไกความร่วมมือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม (Energy and Industry Dialogue:EID) หาแนวทางสร้างความร่วมมือเพื่อรักษาและสร้างโอกาสการเป็นฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ โดยมุ่งมั่นดำเนินการเพิ่มการลงทุนการผลิต HEV รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และเพิ่มการลงทุนศูนย์ R&D และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

พร้อมกันนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีเป้าหมายสร้างห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน (Win-Win Chain) สร้างฐานการผลิตยานยนต์พลังงานสะอาด (BCG) และสร้างผู้ผลิตในประเทศตลอด Supply Chain โดยมีความร่วมมือกันใน 3 ด้าน ได้แก่ ส่งเสริมแนวทางที่หลากหลาย (Multi Pathways) เช่น รถยนต์พลังงาน Hydrogen และ Bio-fuel ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ ELV ดูแลและพัฒนา Supply Chain รวมถึง HRD โดยเฉพาะ SMEs ให้แข่งขันได้

ขณะเดียวกันได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดันนโยบายไปสู่การปฏิบัติในเรื่องการรักษาระดับการผลิต โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ตามแนวทาง Multi Parthwarys ส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ HEV และ mild HEV ส่งเสริมกิจกรรมด้านวิจัยและพัฒนา หรือด้านนวัตกรรมขั้นสูงในประเทศ และการพัฒนาบุคลากร ตลอดจนส่งเสริมการปรับเปลี่ยนรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูงตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน

สัญญาณฟื้น!! ดัชนี MPI มี.ค.หดตัว 0.66%YoY แต่เพิ่มขึ้น MoM รับมาตราการกระตุ้นศก.ต่อเนื่อง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ