น.ส.ขนิษฐา ปะกินำหัง นักวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุในบทความที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ TDRI ในวันนี้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา "ทุเรียน" ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผลไม้ส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดจีน ที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 90% ของยอดส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย แต่ในปี 68 กลับกลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมทุเรียนไทยต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านครั้งใหญ่จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทั้งด้านการผลิต การตลาด ราคาที่ผันผวน และมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ไทยพึ่งพามาอย่างยาวนาน
โดยสถานการณ์ปีนี้เริ่มต้นด้วยปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการขยายพื้นที่ปลูกอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่มีพื้นที่ปลูกถึง 469,580 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตทุเรียนในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นกว่า 56.89% จากปีก่อน ขณะที่ทั่วประเทศคาดว่าผลผลิตทุเรียนในปี 68 จะอยู่ที่ประมาณ 1.682 ล้านตัน เพิ่มขึ้นราว 30.72% จากปี 67 ปัจจัยด้านสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยส่งผลให้ทุเรียนติดผลดี แม้ดูเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงกลับก่อให้เกิดความเสี่ยงจากภาวะผลผลิตล้นตลาด และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดส่งออก
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 68 (ม.ค.-ก.พ.) ไทยส่งออกทุเรียนมูลค่า 128.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (4,374 ล้านบาท) แบ่งเป็นทุเรียนสด 85.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,918 ล้านบาท) และทุเรียนแช่แข็ง 42.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,456 ล้านบาท) แม้ตัวเลขจะดูน่าพอใจ แต่กลับมีปัญหาเชิงคุณภาพเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นฤดูกาล
โดยกรมวิชาการเกษตร พบว่า กว่า 30% ของทุเรียนที่ตรวจจากล้งส่งออกเป็น "ทุเรียนอ่อน" ที่ยังไม่เหมาะสำหรับการบริโภค ทั้งนี้ ปัญหาทุเรียนอ่อนเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการเร่งเก็บจากแรงจูงใจทางราคา การขาดระบบคัดแยกคุณภาพที่มีประสิทธิภาพ และการขาดเครื่องมือวัดความสุกที่แม่นยำ รวมถึงการขาดมาตรการควบคุมจากภาครัฐอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ทุเรียนไม่ได้มาตรฐานบางส่วนปะปนเล็ดลอดไปยังตลาดจีน ซึ่งมีระบบแจ้งเตือนและส่งต่อข้อมูลระหว่างผู้บริโภคที่รวดเร็ว ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยได้รับผลกระทบรุนแรง
ดังนั้น ส่งผลให้ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ศุลกากรจีนได้เพิ่มมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยมีการระงับการนำเข้าทุเรียนจากล้งไทยบางแห่ง เนื่องจากพบว่ามีทุเรียนเกิน 40% มีคุณภาพต่ำ และมีบางล๊อตมีการปนเปื้อนสารตกค้าง เช่น แคดเมียม และสารย้อมสี Basic Yellow 2 หรือ BY2 ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อยอดขาย แต่ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นในคุณภาพของทุเรียนไทยในสายตาผู้บริโภคจีน
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐไทยได้พยายามเร่งคลี่คลายปัญหา โดยออกมาตรการต่าง ๆ เช่น กรมวิชาการเกษตรระงับการส่งออกทุเรียนจากพื้นที่ที่มีการปนเปื้อน ดำเนินการตรวจสารตกค้าง การสุ่มตรวจสวน กำหนดให้แนบผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองในทุกล๊อตทุเรียนที่ส่งออกไปจีน รวมถึงการผลักดันระบบตรวจสอบย้อนกลับ QR code เพื่อควบคุมคุณภาพตลอดห่วงโซ่
อย่างไรก็ดี ความท้าทายของทุเรียนไทยในปี 68 ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อจีนเริ่มเปิดตลาดให้กับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม (ปี 65) และมาเลเซีย (ปี 67) ที่อนุญาตให้ทั้งสองประเทศส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 95% ในปี 65 เหลือเพียง 68% ในปี 66 และลดลงต่อเนื่องจนเหลือ 57% ในปี 67 เวียดนามใช้จุดแข็งเรื่องต้นทุนการผลิตต่ำและระบบการส่งออกที่สะดวกและยืดหยุ่น ส่วนมาเลเซียเน้นตลาดพรีเมียมด้วยทุเรียนพันธุ์ Musang King
นอกจากนี้ ที่น่ากังวลคือกรณีการลักลอบนำเข้าทุเรียนเวียดนามเพื่อนำมาสวมสิทธิ์ว่าเป็นทุเรียนไทย เพื่อส่งออกไปยังจีนที่ภาครัฐไทยกำลังตรวจสอบ เนื่องจากตลาดจีนมีความนิยมในทุเรียนไทยสูงกว่า ตั้งแต่ปลายปี 67 จีนได้ตรวจพบสารแคดเมียมและสารย้อมสี BY2 .ในทุเรียนเวียดนาม ส่งผลให้จีนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพทุเรียนเวียดนามเพิ่มขึ้นทำให้ราคาทุเรียนในตลาดเวียดนามตกต่ำลงจนเป็นความเสี่ยงต่อการนำเข้ามาสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของทุเรียนไทย หากจีนตรวจพบและเข้าใจผิดว่าเป็นผลผลิตมาจากไทยโดยตรง
โดยปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ราคาทุเรียนภายในประเทศตกต่ำลงอย่างมาก จนราคาสามหลักในช่วงต้นฤดูกาล (120+ บาท/กก.) เหลือเพียงสองหลักในเดือนพ.ค. (ต่ำกว่า 95 บาท/กก.) นับเป็นระดับราคาที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอย่างกว้างขวาง
สำหรับข้อเสนอทางรอดทุเรียนไทย เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าวในระยะยาว หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร ควรเร่งดำเนินมาตรการเชิงระบบเพื่อควบคุมมาตรฐานการผลิตทุเรียนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากสารตกค้าง ควบคู่กับการส่งเสริมให้เกษตรกร ล้งหรือโรงคัดบรรจุผลไม้ร่วมกันรับผิดชอบกระบวนการผลิต หากพบว่าล้งใดละเมิดมาตรฐาน ควรมีมาตรการลงโทษอย่างชัดเจน เช่น การห้ามส่งออกชั่วคราวหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย
นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการคัดแยกคุณภาพ เช่น เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์แป้ง เครื่องเอกซเรย์ภายในผลทุเรียน และระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับผ่าน QR Code เพื่อลดข้อผิดพลาดและสร้างความโปร่งใส พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรผลิตทุเรียนคุณภาพในระยะยาว
ทั้งนี้ วิกฤตทุเรียนไทยปี 68 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ราคาผลิตตกต่ำหรือปัญหาชั่วคราว หากแต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนและถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่ประเทศไทยยังคงพึ่งพาตลาดส่งออกหลักอย่างจีนมากเกินไป ขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากสถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ไทยจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานและชื่อเสียงของทุเรียนในระดับสากล เพราะหากไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนำไปสู่การสูญเสียพื้นที่ทางการตลาดในตลาดโลกให้แก่ประเทศคู่แข่ง โดยปัญหาความท้าทายที่มีความซับซ้อนและหลากหลายนี้ จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและบูรณาการโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของไทยในตลาดโลกและสร้างความเชื่อมั่นและยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมทุเรียนไทยในระยะยาว