
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้จ่ายเงินงบประมาณในก้อน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมจะนำไปใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ปรับเปลี่ยนมาเป็นนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิต และรักษาระดับการจ้างงานไว้ รวมทั้งเน้นให้ความช่วยเหลือไปยังภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐ หรือกลุ่มผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ อีกทั้งการดูแลภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะถือว่าเป็นการใช้จ่ายได้ตรงจุด
"หากมอง multiplier ก็จะถือว่าสูง และจะเห็นว่าโครงการเที่ยวคนละครึ่ง ในช่วงที่ผ่านมามี multiplier ค่อนข้างสูงเช่นกัน ดังนั้นหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยได้ แต่อาจไม่ใช่การกระตุ้น แต่เป็นการทำให้เศรษฐกิจค่อย ๆ ปรับตัว แล้วผ่านความยากลำบากไปได้อย่างไม่ยาก จนเกินไป" โฆษก ธปท.กล่าว
ทั้งนี้ ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งแม้ขณะนี้จะยังมีความไม่แน่นอนอยู่ก็ตามนั้น เชื่อว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนของผลกระทบในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ส่วนไตรมาส 2 อาจจะเริ่มเห็นผลกระทบที่มาจากความเชื่อมั่นอยู่บ้าง แต่ยอมรับว่ายังประเมินได้ยาก เพราะมีความไม่แน่นอนสูง สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
"ผลกระทบจริง ๆ น่าจะไปอยู่ช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนไตรมาส 2 คงต้องขอดูก่อน เพราะภาพเศรษฐกิจยังค่อนข้าง mix และยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ยังมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกวัน แต่ต้องยอมรับว่าพัฒนาการล่าสุด ที่เศรษฐกิจไตรมาสแรก ออกมาดีกว่าที่เราคาด และการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ดูจะได้ผลออกมาดีกว่าที่คาด...ไตรมาส 2 คงต้องรอดูอีกที และภาพจะชัดขึ้นในไตรมาส 3 และ 4" โฆษก ธปท. ระบุ
น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐในครั้งนี้ คงไม่เหมือนกับสถานการณ์โควิดที่ทุกคนโดนเท่ากันหมด แต่รอบนี้ ความแย่ หรือความยากจะเกิดขึ้นในบาง sector ขึ้นกับว่าภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลกระทบมากน้อยขนาดไหน ซึ่งขึ้นกับการปรับตัวของแต่ละคน แต่ละบริษัท และแต่ละ sector เป็นหลัก ส่วนในภาพรวมของประเทศ ก็ขึ้นอยู่ที่ผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ด้วย
กรณีมาตรการภาษีสหรัฐที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงอยู่นี้ ตลาดการเงินถือเป็นตัวสะท้อนผลกระทบได้ชัดเจน เพราะจะเห็นได้ว่าตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ขณะที่ภาคเศรษฐกิจจริง จะเห็นความระมัดระวังมากขึ้นในด้านการใช้จ่ายและการลงทุน ดังนั้นฝั่งตลาดการเงินจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดูแลและป้องกันความเสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงในช่วงนี้
ส่วนจะต้องมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่อีกครั้งหรือไม่นั้น โฆษก ธปท.กล่าวว่า จากความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในรอบล่าสุดเมื่อปลายเดือนเม.ย.68 เป็นการมองภาพเศรษฐกิจภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงมาก จึงมีการนำเสนอออกมาหลายฉากทัศน์ ซึ่งหากให้มองภาพตอนนี้ ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 2% หรืออาจจะดีกว่าได้
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์มีความคืบหน้า หรือมีความชัดเจนมากขึ้น ก็อาจจะนำมาหารือกันในการประชุม กนง.รอบถัดไปในเดือนมิ.ย.68
"ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ถ้ามีความชัดเจนจริงๆ เราอาจจะมาอัพเดทกัน เพราะเดือนมิ.ย.มีประชุม กนง. ก็อาจจะอัพเดทมุมมองภาพเศรษฐกิจได้ หากมองภาพตอนนี้ อาจจะค่อนไปทาง reference scenario ประมาณ 2% หรืออาจดีกว่า เพราะไตรมาส 1 ออกมาดี แนวโน้มการเจรจาการค้าดี ก็เป็นบวกหน่อย แต่ต้องดูคู่ค้าหลักเราด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เดือนมิ.ย.ถ้ามีความคืบหน้าจะเล่าอีกรอบ แต่จะปรับ (GDP) หรือไม่นั้น ยังมีความไม่แน่นอนสูง คงมองเป็น scenario" โฆษก ธปท.