
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกผ่อนคลายความกังวลในเรื่องสงครามการค้าได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะหลังจากศาลการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำสั่งยับยั้งการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ในวันเดียวกัน และศาลได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล ทำให้ยังสามารถเก็บภาษีต่อได้จนกว่าจะมีคำตัดสินใหม่ออกมา
ในประเด็นนี้ สุดท้ายคงต้องไปจบกันที่ศาลสูงสหรัฐฯ ที่จะต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่หลายฝ่ายก็เริ่มมีความหวังว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ อาจต้องเจออุปสรรคอีกหลายเรื่อง หรือในที่สุด อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้เลย
"เหตุผลเบื้องหลังของการเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นอาการของปัญหาเบื้องหลังในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขในที่สุด และการที่ศาลเข้ามายับยั้งในกรณีนี้ อาจะไม่เป็นผลดีต่อไทยอย่างที่หลายคนคิด" KKP ระบุ
- "ขาดดุลการค้า" กระทบหนี้สาธารณะ และดอลลาร์สหรัฐฯ
KKP มองว่า ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงไปยังการขาดดุลการคลัง หรือที่เรียกว่า Twin deficits โดยปัญหานี้ ท้ายที่สุดยังอาจเชื่อมโยงไปถึงความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปัจจุบัน การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่งผลให้หากสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการลดการขาดดุลที่ชัดเจน สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มที่ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจ่ายค่านำเข้าสินค้าจากการขาดดุลในระดับสูง
ทั้งนี้ ในกรณีนี้ปัญหาการขาดดุลการค้า จะกลายเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ปัญหาการขาดดุลทางการคลังตามมา หรือที่ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการขาดดุลแฝด (Twin Deficit) โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ระดับการขาดดุลตอนนี้ จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากระดับ 122% ต่อ GDP ที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบัน จะสูงขึ้นไปเป็น 156% ในปี 2578 และจะไม่สามารถปรับตัวลดลงได้ในระยะยาว
KKP มองว่า สถานการณ์ดังกล่าว จะเป็นประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลต่อความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการด้อยค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องพยายามจัดการกับปัญหานี้ในระยะข้างหน้า โดยนโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถทำได้เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดดุลดังกล่าว คือ ภาษีนำเข้ายังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงทางการค้า ดึงภาคการผลิตกลับประเทศ และเพิ่มการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาล
"สหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้า โดยการให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดหรือซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น และต้องการลดสัดส่วนหนี้สาธารณะ โดยการเพิ่มการเติบโตภายในประเทศ ผ่านการดึงการลงทุนในภาคการผลิต และลดกฎเกณฑ์ที่จำกัดการเติบโต" KKP ระบุ
- เชื่อสหรัฐฯ ไม่เลิกเก็บภาษี ส่งผลให้การเจรจายากขึ้น
คำสั่งของศาลการค้า นอกจากไม่ได้เปลี่ยนภาพระยะยาวของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แล้ว ยังอาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามเลี่ยงไปหาช่องทางอื่น ๆ ที่ทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลแฝดที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมาตรการภาษีการค้า จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญอยู่ แต่อาจทำให้การเจรจาของไทยมีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
โดยตามกฎหมาย ประธานาธิบดียังมีอำนาจอื่นในการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ตัวอย่างเช่น มาตรา 122 กฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ให้อำนาจประธานาธิบดีในการขึ้นภาษี 15% เป็นระยะเวลา 150 วันได้ ในกรณีที่สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาดุลชำระเงิน และในระหว่างนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เริ่มการสอบสวนการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า เพื่อใช้มาตรา 301 ในการตั้งกำแพงภาษีในกลุ่มสินค้าสำคัญ (ภาษีนำเข้าที่ขึ้นกับจีนในหลายสินค้า อาศัยกฎหมายมาตรานี้) เป็นต้น
ดังนั้น หากสุดท้ายศาลสูงสหรัฐฯ มีคำสั่งไม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้า แต่ทรัมป์จะยังสามารถขึ้นภาษีนำเข้าโดยผ่านกระบวนการรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจเก็บภาษีการค้าที่แท้จริง ตามรัฐธรรมนูญและพรรครีพับลิกัน ยังครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภาอยู่ แม้อาจใช้เวลาก็ตาม ในกรณีนี้ การหวังให้ศาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดภาษีนำเข้า จะทำได้ยากขึ้นในระยะยาว โดยทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ KKP ประเมินว่า คำสั่งศาล อาจยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า รวมถึงไทยยาวนานขึ้น โดยการเจรจาที่ก่อนหน้านี้ ควรจะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เวลาประมาณ 1 ปี หากการขึ้นภาษีนำเข้าและการเจรจาถูกบังคับให้ต้องเข้ากระบวนการรัฐสภา อาจทำให้ภาษีที่ถูกปรับขึ้นในระยะข้างหน้าต่อประเทศคู่ค้า จะปรับลดลงได้ยากขึ้น เพราะต้องผ่านสภาก่อน และการเจรจาอาจลากยาวกว่า 1 ปีได้
- อีกด้านของความไม่สมดุล คือ จีน
ปัญหาหลักของการค้าโลกในปัจจุบัน ไม่ใช่ "สงครามการค้า" แบบในช่วง 1930 แต่เป็น "ความไม่สมดุลทางการค้า" ระหว่างประเทศผู้ซื้อกับประเทศผู้ขาย หรือเรียกอีกแบบหนึ่ง คือ ความไม่สมดุลระหว่าง "ประเทศที่บริโภคมากเกินไป" (over-consume) กับ "ประเทศที่บริโภคน้อยเกินไป" (under-consume)
ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต เพราะประเทศเศรษฐกิจหลักในอดีตส่วนใหญ่ มีการเกินดุลทางการค้า เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ทุกประเทศที่เป็นผู้ขาย จึงตั้งกำแพงภาษี และลดค่าเงิน เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดโลก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสงครามระหว่างผู้ขายหลายราย
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก สะท้อนจากการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในโลก แต่การที่ขาดดุลการค้าในระดับสูง พร้อมกับการก่อหนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีการบริโภคโดยรวมที่มากเกินไป ในทางตรงกันข้าม ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน มีการเกินดุลทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ในประเทศมีความอ่อนแอ ทำให้หากจีนต้องการขยายภาคการผลิตต่อเนื่องในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยตลาดต่างประเทศเป็นแหล่งรับซื้อสินค้า ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่น ๆ ในโลกมีการบริโภคที่น้อยเกินไป
ประเด็นนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ กำลังเน้นย้ำว่า ในระยะยาว ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ควรปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดความไม่สมดุลของการค้าโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตาม การที่จะร่วมมือกันไปถึงจุดนั้น ไม่ใช่เรื่องนี้ที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งทำให้อาจมีเสียงคัดค้านในการเปลี่ยนแปลงได้
- "ภาษีทรัมป์" ไม่น่ากลัวเท่าส่งออกจีน
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน คาดว่าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคในระยะสั้น และอาจใช้เวลานานกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่นำไปสู่การปรับสมดุลเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นประเด็นอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี ค่าเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
ในระยะต่อไป จึงยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะใช้ภาษีนำเข้าเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง หรือปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่อ่อนไหวจากสินค้าจีน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้น คาดว่าจีนจะกระจายตลาดการส่งออกออกจากสหรัฐฯ โดยส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน รวมทั้งไทย ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจการต่อรองในการขึ้นภาษีนำเข้าต่ำ
"หากผู้ผลิตจีนยังทยอยลดราคาสินค้า เพื่อส่งออกมายังตลาดไทย สิ่งที่ต้องกังวล คือความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางด้านราคาต่อผู้ผลิตไทยจะยิ่งเร่งตัวขึ้นไปอีก และอาจส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยทำให้กิจกรรมในภาคการผลิต และการจ้างงานหดตัวแรง" KKP ระบุ
ดังนั้น แม้ว่าความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ต่อไทยจะลดลง จากความพยายามของภาครัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้า แต่ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือ แรงกดดันทางด้านเงินฝืดต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าจะยังเพิ่มสูงขึ้น หากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงาน จากกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย