เอกชนไทย ประเมินว่า หากแรงงานกัมพูชาถูกเรียกกลับตามที่มีข่าวจากฝั่งกัมพูชา จะส่งผลกระทบบางส่วนในภาคเกษตรกรรม ของพื้นที่ภาคตะวันออกแต่ไม่รุนแรง เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีเวลาในการปรับตัว และสามารถหาแรงงานจากที่อื่นเข้ามาทดแทนได้ อีกทั้งสถานการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วง ปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ที่ความต้องการแรงงานลดลง
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไม่น่าจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ความต้องการแรงงานลดลง
นอกจากนี้เชื่อว่า แรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ยังต้องการทำงานในประเทศไทยต่อไป เพราะแรงจูงใจเรื่องอัตราค่าจ้างที่สูงในไทย ยังคงดึงดูดแรงงานต่างด้าวให้เลือกทำงานในไทยต่อไป และหากสถานการณ์รุนแรงจริงก็ยังมีช่องทางในการหาแรงงานทดแทนได้
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า น่าจะเกิดผลกระทบเล็กน้อย โดยเฉพาะแรงงานภาคเกษตรกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการยังมีเวลาในการปรับตัวและจะสามารถหาแรงงานในพื้นที่อื่นเข้ามาทดแทนได้ ประกอบกับเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ส่วนแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นก็ไม่น่าจะเกิดผลกระทบ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ความต้องการใช้แรงงานลดลง
"เรื่องนี้น่าจะเป็นการสร้างกระแสความนิยมเพื่อหวังผลต่อการเลือกตั้งภายในของประเทศกัมพูชา โดยไม่ได้ต้องการให้เกิดขึ้นจริง มาตรการดังกล่าวน่าจะเกิดผลกระทบต่อแรงงานกัมพูชามากกว่าผู้ประกอบการไทย" นายอิศเรศ กล่าว
ปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาขึ้นทะเบียนอยู่ราว 5 แสนคนจากจำนวนแรงงานต่างด้าวในประเทศเพื่อนบ้าน 3 ชาติ คือ เมียนมา กัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวม 3 ล้านคน ซึ่งตนเชื่อว่าแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ยังอยากอยู่ทำงานในประเทศไทยต่อไป ไม่อยากเดินทางกลับประเทศตนเอง
ขณะที่นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. ยอมรับว่า กรณีดังกล่าวย่อมเกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ แต่ประเด็นสำคัญต้องคำนึกถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก และต้องพยายามปรับตัวไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี และสามารถเจรจาตกลงกันได้
"จากการลงพื้นที่ไปพบผู้ประกอบการในจังหวัดอุบลฯ ก็ยอมรับว่าเกิดผลกระทบ แต่ยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ โดยคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงของชาติ" นายนาวา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าอัตราค่าจ้างในประเทศไทยที่สูงจะจูงใจให้แรงงานต่างด้าวพอใจที่จะเข้ามาทำงาน แต่หากมีความจำเป็นก็สามารถหาแรงงานในประเทศทดแทนได้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้สอบถามประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับการยืนยันจากเจ้าของสถานประกอบกิจการไม่มีแรงงานชาวกัมพูชาแจ้งความประสงค์ขอกลับประเทศ และขอยืนยันว่าจะไม่มีการผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศ แต่ถ้าสมัครใจกลับก็ยินดีและไม่ขัดขวาง ส่วนผู้ที่พาสปอร์ตหมดอายุกรมการจัดหางานจะดำเนินการต่ออายุได้อีก 1 ปี
ปัจจุบัน แรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานอยู่ในประเทศไทยเกือบ 5 แสนคน โดยเป็นการเข้ามาทำงานแบบถูกต้องตามกฎหมายประมาณ 400,000 คน รวมถึงมีแรงงานเก็บผลไม้ตามฤดูกาลประมาณ 20,000 คน ซึ่งจะเดินทางเข้ามาทำงานแบบเช้าไป-เย็นกลับหรือหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็กลับ เช่น เข้ามาตัดอ้อย เก็บทุเรียน มังคุด ในพื้นที่ จ.จันทบุรี ระยอง และตราด
"นี่คือกลุ่มที่รัฐบาลกัมพูชาบอกว่าจะไม่ส่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยแล้ว แต่ขณะนี้ฤดูกาลตัดอ้อยหมดไปแล้ว จะเริ่มอีกครั้งช่วงปลายปี รวมถึงทุเรียนก็ใกล้จะหมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว จึงเชื่อว่าแรงงานส่วนนี้จะไม่กระทบกับประเทศไทย" นายพิพัฒน์ กล่าว
สำหรับแผนการรองรับการจัดหาแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยนั้น กระทรวงแรงงานมีการทำ MOU แรงงานเก็บผลไม้ตามฤดูกาลเอาไว้เกือบ 2 แสนคน เข้าออกประเทศไทยในช่วง 2-3 เดือน แต่แรงงานไป-กลับกัมพูชามีไม่เกิน 20,000 คน จึงเชื่อว่าส่วนนี้จะไม่มีปัญหาสามารถทดแทนกันได้
ขณะนี้กระทรวงแรงงานเตรียมขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติ ประกอบด้วย เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยมีสัดส่วนของแรงงานชาวเมียนมาจำนวนมากที่สุด ส่วนที่ยังรอ MOU และต่ออายุใบอนุญาตทำงานอีก 1.8 ล้านคน แรงงานซีไอ (CI:Certificate of Identity) ที่เข้ามาอยู่ในไทยแล้ว รอขึ้นทะเบียนและหางานทำประมาณ 1 ล้านคน เชื่อว่ามีแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยเพียงพอต่อปริมาณความต้องการแรงงานในประเทศอย่างแน่นอน